ไลฟ์สไตล์ » ท่องเที่ยว » #เปิดประเทศ ! นักท่องเที่ยวแห่เข้าไทย 1200 คน

#เปิดประเทศ ! นักท่องเที่ยวแห่เข้าไทย 1200 คน

7 October 2020
1711   0

นักท่องเที่ยวจีนประเดิมเข้าไทย

ลอตแรก1.2พันคน

ททท.คุมเข้มตามกฎ‘สธ.’

ไม่เร่งรีบหวั่นระบาดรอบ2

ไทยพบป่วยโควิดอีก 10 ราย มาจากคูเวต-ฮ่องกง-สหรัฐฯ-รัสเซีย ผู้ว่าฯททท.ยันตุลาคมนี้นักท่องเที่ยวประเภทพิเศษ หรือ STVบินเข้าไทยอย่างน้อย 2 กลุ่มจาก “จีน-สแกนดิเนเวีย”

ตามแผนเดิม ประมาณ 1,200 คน ย้ำททท.ไม่เร่งรัด ต้องเข้มมาตรการสาธารณสุข ลั่นเปิดประเทศครั้งนี้ไม่ทำประชาชนเสี่ยงระบาดรอบ2แน่ ด้านผู้นำสหรัฐกลับทำเนียบขาว ถอดแมสให้สื่อถ่ายภาพ หมอชี้สัญญาณบวก แต่ถือว่ายังไม่หายดี

เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 (ศบค.) สรุปสถานการณ์ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในประเทศไทยประจำวันว่า พบผู้ป่วยใหม่ 10 ราย ทำให้มีจำนวนผู้ป่วยยืนยันสะสมอยู่ที่ 3,600 ราย ยอดสะสมของผู้รักษาหายแล้วยังอยู่ที่ 3,390 ราย มียอดสะสมผู้เสียชีวิตยังอยู่ที่ 59 ราย เหลือรักษาตัวในโรงพยาบาล 151 ราย

10รายติดโควิดกลับจาก4ปท.

สำหรับผู้ป่วยใหม่ 10 ราย แบ่งเป็น 1.ผู้ที่มาจาคูเวต 2 ราย รายแรก เป็นชายไทย อายุ 38 ปี อาชีพรับจ้าง เดินทางถึงไทยเมื่อวันที่ 22 กันยายน เที่ยวบินเดียวกับที่พบผู้ป่วยยืนยันก่อนหน้านั้น 3 ราย เข้าพักสถานที่กักกันของรัฐในจ.ชลบุรี ตรวจหาเชื้อครั้งแรกวันที่ 26 กันยายน ผลไม่พบเชื้อ แต่เมื่อตรวจครั้งที่ 2 วันที่ 4 ตุลาคมผลพบเชื้อ แต่ไม่มีอาการ รายที่ 2 เป็นชายสัญชาติคูเวต อายุ 61 ปี เดินทางถึงประเทศไทย เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม โดยเป็นผู้ติดตามผู้ป่วยที่มารักษาด้วยโรคอื่น เข้าพักสถานที่กักกันแบบทางเลือกที่รัฐกำหนด (ASQ) ในกรุงเทพฯ จากการตรวจหาเชื้อครั้งแรกเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม ผลพบเชื้อ แต่ไม่มีอาการ ถูกส่งเข้ารักษาที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ

2.ผู้ที่กลับจากรัสเซีย 2 ราย เดินทางถึงประเทศไทยเมื่อวันที่ 28 ก.ย. ซึ่ง เป็นเที่ยวบินเดียวกันกับที่พบผู้ป่วยยืนยันก่อนหน้านี้ 1 ราย โดยรายแรกเป็นชายสัญชาติรัสเซีย อายุ 51 ปี อาชีพพนักงานบริษัท เข้าพักสถานที่กักกันแบบทางเลือกที่รัฐกำหนดใน จ.สมุทรปราการ จากการตรวจหาเชื้อครั้งแรก เมื่อวันที่ 3 ต.ค. ผลพบเชื้อ แต่ไม่มีอาการ ถูกส่งเข้ารับการรักษาในรพ.เอกชนใน จ.นนทบุรี รายที่ 2 เป็นหญิงสัญชาติรัสเซีย อายุ 42 ปี เข้าพักสถานที่กักกันแบบทางเลือกที่รัฐกำหนดในกทม. จากการตรวจหาเชื้อครั้งแรก เมื่อวันที่ 3 ต.ค. ผลพบเชื้อ แต่ไม่มีอาการ ถูกส่งเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลเอกชนใน กทม.

3.ผู้ที่มาจากสหรัฐอเมริกา 3 ราย ทั้งหมดเป็นหญิงไทย อายุ 23 ปี อาชีพพนักงานโรงแรม เดินทางถึงไทยเมื่อวันที่ 29 กันยายน เข้าพักสถานที่กักกันของรัฐในจ.ชลบุรี ตรวจหาเชื้อครั้งแรกเมื่อวันที่ 4 ตุลาคม ผลพบเชื้อ แต่ไม่มีอาการ 4.ผู้มาจากเขตปกครองพิเศษฮ่องกง 3 ราย โดย 2 รายเป็นชายไทย อายุ 31 และ 40 ปี เดินทางถึงไทยเมื่อวันที่ 23 กันยายน เที่ยวบินเดียวกับที่เคยพบผู้ป่วยยืนยันก่อนหน้านี้ 3 ราย เข้าพักสถานที่กักกันของรัฐในจ.สมุทรปราการ จากการตรวจครั้งแรก เมื่อวันที่ 27 กันยายน ผลไม่พบเชื้อ แต่เมื่อตรวจครั้งที่ 2 วันที่ 4 ตุลาคม ผลพบเชื้อ แต่ไม่มีอาการ ขณะที่อีก 1 ราย เป็นหญิงไทย อายุ 22 ปี อาชีพพนักงานในสถานบันเทิง เดินทางถึงไทยเมื่อวันที่ 29 กันยายน เข้าพักสถานที่กักกันของรัฐในกรุงเทพฯ จากการตรวจครั้งแรก เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม ผลพบเชื้อ แต่ไม่มีอาการ เข้ารักษาตัวที่สถาบันโรคทรวงอก จ.นนทบุรี

นทท.ข้าไทยล็อตแรก1.2พันคน

ด้านนายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยความคืบหน้าการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวต่างชาติประเภทพิเศษ หรือSpecial Tourist VISA (STV) แบบจำกัดจำนวนเข้าไทยว่า ททท.กำลังดำเนินการตามระเบียบของประกาศกระทรวงมหาดไทยในการอนุญาตให้ชาวต่างชาติเข้าประเทศได้ตามเงื่อนไขวันที่ 1 ตุลาคมที่ผ่านมา เพื่อให้สามารถเปิดรับนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้เข้ามาในประเทศไทยได้ตามที่ได้รับอนุญาต ยืนยันว่าเดือนตุลาคมนี้จะมีนักท่องเที่ยวกลุ่ม STV เข้าประเทศไทยแน่นอนจาก 2-3 ประเทศคือ จีนและสแกนดิเนเวีย ในจำนวนโควตาที่ได้รับอนุญาตคือ สัปดาห์ละประมาณ 300 คน หรือเดือนละ 1,200 คน ส่วนการกำหนดวันที่ที่แต่ละคณะจะเข้ามานั้น ขยับวันได้ เช่น กลุ่มแรกที่เคยกำหนดไว้ว่าเคยมีเที่ยวบินแรกนำนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามา กลุ่มแรกคือ กลุ่มนักท่องเที่ยวจากจีน 150 คน ในวันที่ 8 ตุลาคมนั้นขยับได้ เพราะมีปัจจัยอื่นที่ควบคุมไม่ได้ เช่น วันที่ 7 ตุลาคมเป็นวันหยุดวันชาติของจีน ทำให้ต้องมีเวลาเตรียมขั้นตอนดำเนินงานพอสมควร ขอให้มั่นใจว่าททท.ไม่ได้เร่งรีบ และทำโดยมาตรการที่เคร่งครัด เพื่อให้การเปิดประเทศครั้งนี้ไม่ทำให้ประเทศไทยอยู่ในความเสี่ยงระบาดโควิด-19 ซ้ำ ยืนยันว่าภายในเดือนตุลาคมนี้จะมีกลุ่มเอสทีวีเข้ามาในประเทศไทยอย่างน้อยสองกลุ่มอย่างแน่นอน

‘ทรัมป์’กลับทำเนียบขาวฯแล้ว

ส่วนความคืบหน้าอาการป่วยติดเชื้อโควิด-19 ของประธานาธิบดีสหรัฐ โดนัลด์ ทรัมป์ สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงวอชิงตัน สหรัฐอเมริกาว่า ผู้นำสหรัฐ เดินทางด้วยเฮลิคอปเตอร์ประจำตำแหน่ง ออกจากศูนย์การแพทย์ทหารแห่งชาติ วอลเทอร์ รีด ที่เมืองเบเธสดา ในรัฐแมริแลนด์ กลับมายังทำเนียบขาว เมื่อช่วงเย็นวันจันทร์ตามเวลาท้องถิ่น หลังเข้ารักษาอาการป่วยติดเชื้อโควิด-19 ในโรงพยาบาล 3 วัน ทันทีที่ลงจากเฮลิคอปเตอร์ ผู้นำสหรัฐฯขึ้นไปปรากฏตัวที่ระเบียงของทำเนียบขาว แล้วถอดหน้าอากากอนามัยออกทันที เพื่อให้ผู้สื่อข่าวซึ่งอยู่ด้านล่างบันทึกภาพ

สุภาพสตรีหมายเลข1กักตัว

ก่อนหน้านี้ผู้นำสหรัฐยังทวีตข้อความเผยอาการป่วยของตัวเองว่า รู้สึกดีมากในระดับที่ดีกว่าเมื่อ 20 ปีที่แล้ว พร้อมเรียกร้องชาวอเมริกันอย่าหวาดกลัว และอย่าให้เชื้อโควิด-19 ครอบงำ โดยยืนยันว่ารัฐบาลพัฒนายา วัคซีน และเทคโนโลยีรักษาโรคนี้ ขณะเดียวกัน ทรัมป์ยืนยันจะลงพื้นที่หาเสียง ขึ้นเวทีประขันวิสัยทัศน์กับนายโจ ไบเดน ในวันที่ 15 ตุลาคม และปฏิเสธที่จะตอบคำถามของผู้สื่อข่าวว่าตัวเองเป็นซุปเปอร์สเปรเดอร์หรือไม่ ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่จัดพื้นที่ทำงานชั่วคราวให้ทรัมป์ อยู่ใกล้สำนักงานของแพทย์ประจำตัว ที่ระบุอาการทรัมป์ว่า มีสัญญาณบวก แต่ยังไม่ถือว่าหายดี รวมถึงไม่ยืนยันจะให้ทรัมป์ลงพื้นที่หาเสียงหรือไม่ ด้านสำนักงานของสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งประกาศว่า นางเมลาเนีย ทรัมป์ ยังไม่ออกจากพื้นที่กักบริเวณตามคำสั่งของคณะแพทย์ จนกว่าจะได้รับการยืนยันว่าหายดี

ปารีสยกระดับควบคุมสูงสุด

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงปารีส ของฝรั่งเศสว่า กระทรวงสาธารณสุขของฝรั่งเศสรายงานสถานการณ์โควิด-19 ในรอบ 24 ชั่วโมงถึงช่วงเย็นวันจันทร์ตามเวลาท้องถิ่น ยืนยันผู้ป่วยสะสมอย่างน้อย 624,274 คน เพิ่มขึ้น 5,084 คน รักษาหายแล้ว 98,680 คน เพิ่มขึ้น 306 คน ส่วนสถิติสะสมของผู้เสียชีวิตอยู่ที่อย่างน้อย 32,299 คน เพิ่มขึ้น 69 คน ส่วนสถานการณ์ในกรุงปารีสนั้นถือว่าอยู่ในระดับวิกฤติในรอบสัปดาห์ ค่าเฉลี่ยการพบผู้ติดเชื้อในเมืองหลวงและเขตปริมณฑลอยู่ที่ประมาณ 3,500 คนต่อวัน ทำให้รัฐบาลกลางประกาศยกระดับกำหนดพื้นที่เฝ้าระวังโควิด-19 ระบาดขึ้นสูงสุด เพื่อเฝ้าระวัง ผับบาร์สถานบันเทิงต้องปิดบริการ งานเลี้ยง กิจกรรมกลางแจ้งทุกประเภทไม่ได้รับอนุญาตให้จัด

ปิดบาร์ฟิสเนตโรงยิม2สัปดาห์

ขณะที่การแข่งขันกีฬาในสนาม รวมถึงเทนนิสแกรนด์ สแลมเฟรนช์ โอเพนที่กำลังเกิดขึ้นให้เดินหน้าต่อ ภายใต้เงื่อนไขเดิมคือ จำกัดผู้ที่อยู่ในสนามไม่เกิน 1,000 คน นับรวมนักกีฬาและเจ้าหน้าที่จัดการแข่งขันด้วย ทุกคนต้องสวมหน้ากากอนามัย และนักกีฬาให้ถอดออกเมื่อต้องลงสนาม เช่นเดียวกับ ฟิตเนสและโรงยิมให้ปิดชั่วคราว ส่วนสนามกีฬาในรม อาทิ สระว่ายน้ำ อนุญาตให้เฉพาะผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปีเข้าใช้บริการ ส่วนร้านอาหารยังเปิดบริการได้ตามปกติ แต่ต้องจัดโต๊ะห่างกันอย่างน้อย 1 เมตร นั่งร่วมโต๊ะได้ไม่เกิน 6 คน และทางร้านต้องบันทึกข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้าทุกคน โดยเฉพาะชื่อและหมายเลขโทรศัพท์ โดยกรุงปารีสถือเป็นเมืองที่สองของฝรั่งเศส ซึ่งต้องอยู่ภายใต้มาตรการควบคุมทางสังคมขั้นสูงสุดเป็นเวลา 2 สัปดาห์ต่อจากเมืองมาร์แซย์

เตือนฮ่องกงเสี่ยงเกิดระลอก4

นางแคร์รี หล่ำ ผู้บริหารฮ่องกงเปิดเผยว่า สถานการณ์ระบาดของไวรัสโควิด-19 ระลอกสามนั้นควบคุมได้แล้ว โดยมีผู้ติดเชื้อเกือบ 4,000 คน เสียชีวิต 98 คน ระหว่างต้นเดือนกรกฎาคมถึงปลายเดือนกันยายน ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า มีโอกาสเกิดระบาดระลอกสี่ปลายปีนี้ เพราะยังติดเชื้อในชุมชนแบบหาที่มาไม่ได้ ผู้คนมีกิจกรรมทางสังคมเพิ่มขึ้น และมีการจับคู่ท่องเที่ยวหรือแทรเวลบับเบิลแล้ว

ทั้งนี้ ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า โรงเรียนมีความเสี่ยงติดเชื้อสูงไม่ต่างจากบ้านพักคนชรา หอพัก และที่พักตามไซต์ก่อสร้าง เพราะคนมาอยู่หนาแน่น ใกล้ชิดกันในที่ปิดเป็นเวลานาน แม้สวมหน้ากากอนามัยก็เสี่ยงติดเชื้อได้ นักเรียนที่ติดเชื้อ ไม่แสดงอาการจะกลายเป็นแหล่งแพร่เชื้อขนาดใหญ่อย่างเงียบ ๆ แต่แพร่ได้กว้างและไกลโดยที่ตัวเองไม่ป่วย ทำให้คนในครอบครัวโดยเฉพาะผู้สูงอายุติดเชื้อได้

800ล้านคนทั่วโลกติดโควิด

องค์การอนามัยโลกคาดว่า ประชากรทั่วโลกอาจติดเชื้อไวรัสที่ทำให้เป็นโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 ไปแล้ว 1 ใน 10 หรือราว 800 ล้านคนจากประชากรทั้งโลก 7,800 ล้านคน โดยนพ.ไมค์ ไรอัน ผู้อำนวยการโครงการเหตุฉุกเฉินทางสุขภาพขององค์การอนามัยเผยต่อที่ประชุมพิเศษหารือมาตรการรับมือโรคโควิด-19 ที่สำนักงานใหญ่ในนครเจนีวาของสวิตเซอร์แลนด์ว่า ประมาณการมีประชากรโลกประมาณร้อยละ 10 ติดเชื้อไปแล้ว ต่างกันไปในแต่ละประเทศ แต่ละเขตเมืองเขตชนบท และแต่ละกลุ่ม สิ่งสำคัญคือ ประชากรส่วนใหญ่ของโลกยังคงมีความเสี่ยงอยู่ การระบาดจะดำเนินต่อไป แต่โลกรู้ว่ามีเครื่องมือยับยั้งการระบาดและช่วยชีวิตคนได้ตั้งแต่ตอนนี้ โดยการติดเชื้อและเสียชีวิตใน 10 ประเทศรวมกันร้อยละ 70 ของทั้งโลก ในจำนวนนี้ครึ่งหนึ่งอยู่ใน 3 ประเทศคือ สหรัฐ อินเดียและบราซิล.