ข่าวประจำวัน » #‘เฮลีย์’ทูตสหรัฐฯระบุ ‘หนทางการทูตผ่านยูเอ็น’เพื่อแก้‘ปัญหาเกาหลีเหนือ’ได้ใช้ไปหมดสิ้นแล้ว คงต้องหันไปหา‘วิธีทางทหาร’

#‘เฮลีย์’ทูตสหรัฐฯระบุ ‘หนทางการทูตผ่านยูเอ็น’เพื่อแก้‘ปัญหาเกาหลีเหนือ’ได้ใช้ไปหมดสิ้นแล้ว คงต้องหันไปหา‘วิธีทางทหาร’

18 September 2017
397   0

รอยเตอร์ – เอกอัครราชทูตสหรัฐฯประจำสหประชาชาติ นิกกี้ เฮลีย์ กล่าวในวันอาทิตย์ (17 ก.ย.) ว่า คณะมนตรีความมั่นคงยูเอ็นได้ใช้ทางเลือกต่างๆ ไปจนหมดสิ้นแล้ว ในความพยายามที่จะจำกัดขีดวงโครงการนิวเคลียร์และขีปนาวุธของเกาหลีเหนือ และสหรัฐฯอาจจะต้องส่งเรื่องนี้ไปให้เพนตากอน (กระทรวงกลาโหมอเมริกา) เป็นคนจัดการแล้ว

“เราได้ทำอะไรไปจนหมดสิ้นแล้วจริงๆ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราสามารถกระทำได้ ณ คณะมนตรีความมั่นคงในจุดนี้” เฮลีย์บอกกับรายการสัมภาษณ์ประจำวันอาทิตย์ “สเตท ออฟ ดิ ยูเนียน” ของโทรทัศน์ข่าวซีเอ็นเอ็น พร้อมกับพูดต่อไปว่าเธอรู้สึกยินดีอย่างที่สุดที่จะส่งมอบปัญหาเกาหลีเหนือนี้ไปให้แก่รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ เจมส์ แมตทิส

ขณะที่ผู้นำของประเทศต่างๆ ทั่วโลกมุ่งหน้าสู่สำนักงานใหญ่องค์การสหประชาชาติในนครนิวยอร์ก เพื่อเข้าร่วมการประชุมสมัชชาใหญ่ยูเอ็นประจำปีที่มีขึ้นในสัปดาห์นี้ การแสดงความเห็นเช่นนี้ของเฮลีย์เป็นการบ่งบอกว่า สหรัฐฯไม่ได้ล่าถอยจากที่ได้เคยข่มขู่คุกคามว่าจะใช้ปฏิบัติการทางทหารเข้าจัดการกับเกาหลีเหนือ

เกาหลีเหนือนั้นได้ยิงขีปนาวุธพิสัยปานกลางผ่านข้ามประเทศญี่ปุ่นไปตกลงในมหาสมุทรแปซิฟิกเมื่อวันพฤหัสบดี (14 ก.ย. ตามเวลาในนิวยอร์ก แต่เป็นวันศุกร์ที่ 15 ก.ย. ตามเวลาในเกาหลีเหนือ) อันเป็นการท้าทายต่อมาตรการลงโทษคว่ำบาตรครั้งใหม่ซึ่งคณะมนตรีความมั่นคงยูเอ็นเพิ่งโหวตเห็นชอบอย่างเป็นเอกฉันท์ โดยที่มีทั้งการห้ามเกาหลีเหนือส่งออกสินค้าสิ่งทอ และการจำกัดการนำเข้าน้ำมันและก๊าซธรรมชาติของโสมแดง

จีนซึ่งยกมือโหวตเห็นชอบกับมติการลงโทษคว่ำบาตรแพกเกจใหม่นี้ด้วย แต่ก็รบเร้าสหรัฐฯให้หลีกเลี่ยงจากการข่มขู่คุกคามเกาหลีเหนือ อย่างไรก็ดี ในรายการสัมภาษณ์ของซีเอ็นเอ็นนี้ เมื่อถูกถามถึงเรื่องที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้เคยฮึ่มฮั่มในเดือนที่แล้วว่า หากโสมแดงยังคงคุกคามสหรัฐฯแล้ว ก็จะต้องเจอกับ “เพลิงและความเคียดแค้น” เฮลีย์ก็ตอบว่า คำพูดของทรัมป์นี้ “มันไม่ใช่เป็นการข่มขู่อันว่างเปล่า”

“ถ้าเกาหลีเหนือยังคงแสดงพฤติการณ์อันไม่ยั้งคิดเช่นนี้ต่อไป ถ้าสหรัฐฯจำเป็นต้องคุ้มครองป้องกันตัวเองหรือคุ้มครองป้องกันพวกพันธมิตรของตนในวิถีทางใดๆ แล้ว เกาหลีเหนือก็จะถูกทำลาย พวกเราทั้งหมดต่างทราบเรื่องนี้ดี พวกเราไม่มีใครเลยที่ต้องการเช่นนั้น พวกเราไม่มีใครเลยที่ต้องการสงคราม” เฮลีย์ กล่าว

“เรากำลังพยายามใช้ความเป็นไปได้อื่นๆ ทุกๆ อย่างที่เรามีอยู่ ทว่ามันก็ยังมีทางเลือกทางทหารต่างๆ ครบชุดวางแบอยู่บนโต๊ะ (ให้สามารถเลือกใช้ได้)” เธอบอก

“มนุษย์จรวด”

ระหว่างการประชุมสมัชชาใหญ่ยูเอ็นคราวนี้ ทรัมป์มีกำหนดจะขึ้นกล่าวปราศรัยด้วย ซึ่งจะเป็นการพูดบนเวทีสมัชชาใหญ่ยูเอ็นประจำปีครั้งแรกของเขานับตั้งแต่ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี โดยที่เขามีนัดหมายจะเจรจาหารือกับผู้นำของหลายชาติในโอกาสนี้ด้วย ซึ่งหนึ่งในนั้นคือประธานาธิบดี มุน แจอิน ของเกาหลีใต้

“ผมได้พูดกับประธานาธิบดีมุนของเกาหลีใต้เมื่อคืนนี้ ได้ถามเขาว่ามนุษย์จรวดกำลังทำอะไรอยู่ ควันก๊าซยาวเหยียดกำลังก่อตัวในเกาหลีเหนือ เลวร้ายมาก!” นี่เป็นข้อความทางทวิตเตอร์ข้อความหนึ่งซึ่งทรัมป์โพสต์เมื่อเช้าวันอาทิตย์ (17) นับเป็นครั้งแรกที่เขาใช้คำว่า “มนุษย์จรวด” (Rocket Man) ซึ่งดูจะต้องการหมายถึงคิม จองอึน ผู้นำโสมแดง

ก่อนหน้านี้ที่ปรึกษาฝ่ายความมั่นคงแห่งชาติของทำเนียบขาว เอช.อาร์. แมคมาสเตอร์ ได้กล่าวเมื่อวันศุกร์ (15)ว่า หลังจากเกาหลีเหนือยิงขีปนาวุธครั้งล่าสุดเช่นนี้ ทำให้สหรัฐฯกำลังหมดความอดทนอดกลั้น ทั้งนี้เขาพูดเป็นคำพังเพยว่า “เรากำลังเตะกระป๋องให้กลิ้งไปตามถนน (หมายความว่า ผัดวันประกันพรุ่ง ยังไม่ได้ทำการตัดสินใจ) และมาถึงตอนนี้เราก็มาจนสุดถนนแล้ว”

ในวันอาทิตย์ (17) เขาออกมาเตือนถึงอันตรายที่กำลังจะเกิดขึ้นจากเกาหลีเหนือ

“ระบอบปกครองนี้ขยับเข้ามาใกล้เหลือเกินที่จะกลายเป็นภัยคุกคามต่อสหรัฐฯและคนอื่นๆ ด้วยอาวุธนิวเคลียร์ และเราจำเป็นต้องเคลื่อนไหวกันด้วยความรู้สึกถึงความเร่งด่วนอย่างมากมายจริงๆ ในเรื่องการแซงก์ชั่น ในด้านการทูต และก็กำลังเตรียมพร้อม หากว่ามีความจำเป็น ที่จะต้องใช้ทางเลือกทางการทหาร” แมคมาสเตอร์ กล่าวในรายการสัมภาษณ์ประจำวันวันอาทิตย์ “ฟ็อกซ์ นิวส์ ซันเดย์” ของโทรทัศน์ข่าวฟ็อกซ์นิวส์

เห็นกันว่าทางเลือกด้านการทหารที่ทรัมป์อาจนำมาใช้ได้ มีตั้งแต่การปิดล้อมทางทะเลซึ่งมุ่งหมายที่จะบังคับใช้มาตรการแซงก์ชั่นต่างๆ อย่างได้ผล ไปจนถึงการใช้ขีปนาวุธร่อนเข้าถล่มโจมตีสถานที่ทางด้านนิวเคลียร์และขีปนาวุธของเกาหลีเหนือ ตลอดจนการเปิดการรณรงค์สู้รบอย่างใหญ่โตกว้างขวางด้วยจุดมุ่งหมายที่จะโค่นล้มคิม จองอึน รัฐมนตรีกลาโหมแมตทิสได้เคยกล่าวเตือนเอาไว้ว่า ผลพวงต่อเนื่องจากการใช้ปฏิบัติการทางทหารใดๆ ก็ตามต่อเกาหลีเหนือ จะก่อให้เกิด “เรื่องเศร้าในขนาดขอบเขตที่เหลือเชื่อ” และก่อให้เกิดความเสี่ยงอย่างสาหัสร้ายแรงต่อพันธมิตรของสหรัฐฯอย่างเกาหลีใต้

ทางด้าน ไดแอนน์ ไฟน์สไตน์ วุฒิสมาชิกสหรัฐฯสังกัดพรรคเดโมแครตฝ่ายค้าน ได้กล่าวในวันอาทิตย์ (17) ว่า ทรัมป์ไม่ควรที่จะบอกปัดว่าจะไม่ยอมพูดจากับเกาหลีเหนือ หากโสมแดงไม่ยินยอมที่จะยุติโครงการนิวเคลียร์ของพวกเขาเสียก่อน

“ดิฉันคิดว่าเกาหลีเหนือจะไม่ยอมยกเลิกโครงการของพวกเขาหรอก ถ้าหากไม่มีอะไรวางอยู่บนโต๊ะเจรจาเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน” เธอกล่าวในรายการสัมภาษณ์ทางซีเอ็นเอ็น

ไฟน์สไตน์กล่าวด้วยว่า การระงับทั้งโครงการนิวเคลียร์และคลังแสงขีปนาวุธของเกาหลีเหนือเอาไว้ก่อน แทนที่จะเรียกร้องให้ยุติไปเลย จะเป็นสิ่งที่ยอมรับเป็นที่พึงพอมากขึ้นของเกาหลีเหนือและของจีน ซึ่งหวั่นเกรงว่าสหรัฐฯมีเป้าหมายที่จะโค่นล้มคิม

สำหรับรัฐมนตรีต่างประเทศ เร็กซ์ ทิลเลอร์สัน ซึ่งพูดในรายการสัมภาษณ์ประจำวันอาทิตย์ “เฟซ เดอะ เนชั่น” ทางเครือข่ายโทรทัศน์ซีบีเอส กล่าวว่าสหรัฐฯยังคงต้องการหนทางแก้ไขแบบสันติ และกำลังเฝ้ารอคอยให้ฝ่ายเกาหลีเหนือส่งสัญญาณว่าพวกเขาพร้อมแล้วที่จะพูดจาหารือกัน

“เราได้ใช้ความพยายามมาหลายครั้งแล้วที่จะส่งสัญญาณไปถึงพวกเขาว่า พวกเรานั้นพร้อม เมื่อพวกเขาพร้อม” เขากล่าว “แต่แล้วพวกเขาก็ตอบสนองด้วยการยิงขีปนาวุธมากขึ้นและการทดลองนิวเคลียร์เพิ่มขึ้น”

ที่มา : mgronline

สำนักข่าววิหคนิวส์