เมื่อวันที่ 1-2 เมษายน ที่ผ่านมา นายดอน ปรมัตถ์วินัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้เดินทางเยือนเมืองหวงซาน มณฑลอานฮุย ประเทศจีน ตามคำเชิญของ นายหวัง อี้ มนตรีแห่งรัฐและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศจีน พร้อมนำคณะผู้แทนภาคเอกชนไทยร่วมเดินทางไปด้วย เพื่อหารือถึงแนวทางในการกระชับและเพิ่มพูนความสัมพันธ์ รวมถึงการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างไทยกับจีนเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจจากผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 และสถานการณ์โลก
การเยือนจีนของรองนายกฯ และ รมว.กต.ดอนในครั้งนี้เกิดขึ้นหลังการประสานงานเพื่อหาช่วงเวลาที่ทั้งสองฝ่ายสะดวกร่วมกันตั้งแต่ปลายปี 2564 และยังเป็นการนำคณะผู้แทนภาคเอกชนไทยเยือนจีนเพื่อส่งเสริมความร่วมมือด้านเศรษฐกิจระหว่างกัน ทั้งยังตอบแทนการเยือนไทยอย่างเป็นทางการของนายหวัง อี้ เมื่อเดือนตุลาคม 2563
ประเด็นสำคัญคือยังเป็นการเยือนเพื่อกระชับความเป็นหุ้นส่วนความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์อย่างรอบด้านไทย-จีน ที่ครบรอบ 10 ปีในปีนี้ ให้เกิดคุณค่าและประโยชน์เชิงรูปธรรมต่อประเทศและประชาชนของทั้งสองฝ่ายมากยิ่งขึ้น ขณะเดียวกันเป็นโอกาสที่ไทยได้หารือกับจีนเกี่ยวกับการฟื้นฟูเศรษฐกิจผ่านการเร่งเสริมสร้างการรวมตัวทางเศรษฐกิจและความเชื่อมโยงระหว่างกัน การใช้ประโยชน์จากความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) และข้อริเริ่มหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง (BRI) ซึ่งจะช่วยลดผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 ที่ยืดเยื้อและถูกซ้ำเติมโดยสถานการณ์ในยูเครนขณะนี้
นอกจากนี้ยังเป็นการหารือเพื่อการประสานท่าทีของความร่วมมือในกรอบพหุภาคีในปีนี้ ในโอกาสที่ไทยเป็นเจ้าภาพความร่วมมือทางเศรษฐกิจในเอเชีย-แปซิฟิก (APEC) และจีนจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมผู้นำกลุ่มประเทศที่มีการพัฒนาเศรษฐกิจอย่าวรวดเร็ว (BRICS) เพื่อให้กรอบความร่วมมือต่างๆ เป็นไปในทิศทางเดียวกัน
ในการหารือทวิภาคีกับนายหวัง อี้ ฝ่ายไทยได้หยิบยกประเด็นความร่วมมือสำคัญ 3 สาขา ได้แก่ สาขาที่ 1.การอำนวยความสะดวกด้านการค้าและการขนส่งสินค้า โดยเฉพาะการส่งออกผลไม้ไทยไปจีนซึ่งขณะนี้ประสบปัญหาควาล่าช้าอันเกิดมาจากสถานการณ์โรคโควิด-19 และความแออัดของการจราจรหน้าด่านจีนกับประเทศเพื่อนบ้าน โดยในเดือนเมษายน-พฤษภาคม เป็นช่วงที่ผลไม้ไทยออกสู่ตลาด ผลกระทบจากความล่าช้าซึ่งจะทำให้สินค้าเน่าเสีย จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยในวงกว้าง ซึ่งมนตรีแห่งรัฐและ รมว.กต.จีนได้สั่งการเพื่อหาทางแก้ไขปัญหา รวมทั้งจะพิจารณาความเป็นไปได้ที่จะส่งคนมาตรวจสอบด้านคุณภาพและสุขอนามัยในไทย เพื่อเร่งรัดขั้นตอนการส่งออกผลไม้ไปจีน
สาขาที่ 2 คือ ความเชื่อมโยงด้านธุรกิจและการลงทุน โดยเฉพาะความร่วมมือระหว่างระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) กับเขตเศรษฐกิจลุ่มแม่น้ำแยงซี (Yangtze River Delta: YRD) โดยไทยได้เสนอให้มีการจัดทำความร่วมมือระหว่างกันเช่นเดียวกับที่ EEC มีกับยุทธศาสตร์เขตเศรษฐกิจอ่าวกวางตุ้ง-ฮ่องกง-มาเก๊า (GBA) ซึ่งพิสูจน์แล้วว่าสามารถผลักดันให้บริษัทชั้นนำของจีนเข้ามาลงทุนใน EEC ในสาขาตามที่ฝ่ายไทยต้องการ
สาขาที่ 3 คือความเชื่อมโยงด้านคมนาคม โดยเฉพาะระบบรางของไทยกับโครงการรถไฟลาว-จีน ซึ่งจะเป็นตัวเลือกใหม่สำหรับผู้ประกอบการไทยในการส่งออกและนำเข้าสินค้าไทย-จีน ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น ซึ่งมนตรีแห่งรัฐฯ แสดงความหวังว่ากระบวนการออกแบบและก่อสร้างเส้นทางรถไฟความเร็วสูงในส่วนของไทยจะเชื่อมโยงไปภาคใต้ของไทยด้วย เพื่อเป็นเส้นทางเชื่อมโยง BRI ที่ครอบคลุมและหลายประเทศจะได้ประโยชน์จากเส้นทางเชื่อมโยงดังกล่าว