“บิ๊กป้อม”แจงใช้ม.44แก้กม.พรรคการเมืองไม่เซ็ตซีโร่พรรคเก่า ส่อพลิ้วหลัง1เมษาฯยังไม่ได้ปลดล็อก100เปอร์เซ็นต์แค่ให้ทำธุรการ ส่วนขั้นสองรอไปช่วงหาเสียง ขณะที่ “มาร์ค” สั่งฝ่ายกฎหมายดูคำสั่งคสช. ถ้าขัดรธน.ยื่นตีความแน่นอน เตือนอย่าเดินซ้ำรอยระบอบทักษิณใช้อำนาจเพื่อพวกพ้อง ด้านพรรคพท.ร่อนแถลงการณ์อัดยับสืบทอดอำนาจเตรียมยื่นศาลเช่นกัน
เมื่อวันที่ 27 ธ.ค.60 Naewna พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการ กระทรวงกลาโหม กล่าวถึงการใช้คำสั่งมาตรา 44 แก้ไข พ.ร.ป.พรรคการเมือง พ.ศ.2560 ว่า ตนยืนยันคำสั่งดังกล่าว ไม่ได้เซ็ตซีโร่พรรคการเมืองแต่อย่างใด จะทำได้อย่างไร เพราะพรรคการเมืองก็อยู่อย่างเดิม ซึ่งการออกคำสั่งดังกล่าวจะทำให้พรรคใหม่ และเก่าเริ่มต้นพร้อมๆกันและขอย้ำว่าเราไม่ได้เอื้อประโยชน์ให้พรรคใหม่เลย เพราะพรรคใหม่ก็เริ่มต้นได้เดือนเดียว
ยืนยันไม่ได้เซ็ตซีโร่สมาชิกพรรค
เมื่อถามว่า ส่วนพรรคเก่าที่มีสมาชิกเป็นจำนวนมากจะหาสมัครชิกพรรคทันตามกรอบเวลาได้อย่างไร พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ขอย้ำอีกทีว่าไม่ได้เซ็ตซีโร่พรรคเพราะพรรคการเมือง คณะกรรมการบริหารพรรคก็ยังอยู่ เพียงแค่ไปหาสมาชิกพรรคทั้ง 4 ภาค จังหวัดละ100 คน และจ่ายเงินให้พรรคการเมืองเท่านั้นเอง
พลิ้ว!หลัง1เมย.ไม่ปลอดล็อก100%
เมื่อถามอีกว่า แน่นอนหรือไม่หลังวันที่ 1 เม.ย. จะปลดล็อคให้พรรคการเมืองร้อยเปอร์เซ็นต์เพื่อทำกิจกรรมทางการเมืองได้ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า สำหรับการปลดล็อคพรรคการเมือง จะทำ 2 ขั้นตอน โดยขั้นตอนแรกคือด้านธุรการ กับการหาเสียงและย้ำว่าทุกอย่างเป็นไปตามโรดแม็พ
โต้มาร์คไม่ใช่แผนเลื่อนเลือกตั้ง
เมื่อถามถึงกรณี นายอภิสิทธิ์ เวชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ออกมาระบุว่าคำสั่งนี้มีเหตุผลต้องการเลื่อนการเลือกตั้ง พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ทาง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯในฐานะหัวหน้าคสช.ชี้แจงแล้ว โดยตนขอย้ำว่าคำสั่งดังกล่าวไม่ได้มีจุดประสงค์จะเลื่อนการเลือกตั้งแต่อย่างใด เพราะที่ประชุม คสช.ไม่ได้หารือแบบนั้นเลย
ผบ.ทบ.ย้ำการเมืองอย่านอกกรอบ
พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสารท ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) กล่าวว่า ขอย้ำว่าทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม การเลือกตั้งก็เป็นไปตามโรดแมป ซึ่งการแสดงความเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยของนักการเมือง ตนคิดว่าทำได้ เพราะพวกท่านเป็นนักการเมืองอยู่แล้ว แต่ตนมั่นใจส่าทุกอย่างจะเป็นไปตามกรอบและกติกาที่เราวางไว้
เมื่อถามว่า การเคลื่อนไหวของนักการเมืองในช่วงนี้ทางคสช. รับได้หรือไม่ พล.อ.เฉลิมชัย กล่าวว่า การเคลื่อนไหวส่วนใหญ่เป็นการแสดงความคิดเห็นของนักการเมือง นักการเมืองมืออาชีพ เขาจะไม่ทำอะไรนอกกรอบ ก็เป็นเรื่องปกติไม่มีปัญหาอะไร
มาร์คสั่งฝ่ายกม.หาช่องยื่นตีความ
ขณะที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) เปิดเผยว่า มอบหมายให้ฝ่ายกฎหมายของพรรคพิจารณาข้อกฎหมายว่าคำสั่งคสช.ที่ 53/2560 เรื่องการดำเนินการตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ(พ.ร.ป.) ว่าด้วยพรรคการเมือง ว่ามีเนื้อหาใดที่เข้าข่ายขัดรัฐธรรมนูญหรือไม่ ซึ่งจะทราบผลหลังปีใหม่ว่าจะยื่นศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยหรือไม่
ชี้คำสั่งม.44ขัดกันเองในตัว
ทั้งนี้การจะยื่นเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญต้องมีเหตุผลข้อเท็จจริงที่เข้าข่ายยื่นได้ ซึ่งเท่าที่เห็นคำสั่งคสช.เป็นคำสั่งที่ยาวเป็นพิเศษและเนื้อหาขัดกันในตัวมีความไม่ชัดเจนหลายเรื่อง ฝ่ายกฎหมายกำลังดูในรายละเอียดถึงผลที่เกิดขึ้น
ถ้าเข้าเงื่อนไขยื่นศาลแน่นอน
“ถ้าเข้าเงื่อนไขที่ขัดรัฐธรรมนูญก็มีความเป็นไปได้ที่จะยื่นศาลรัฐธรรมนูญ โดยต้องดูว่ากระทบสิทธิของบุคคลหรือไม่ ซึ่งเจ้าตัวคนที่ได้รับผลกระทบต้องเป็นผู้ยื่น การจะยื่นศาลรัฐธรรมนูญหรือไม่ ไม่ใช่ความต้องการส่วนตัว ยื่นไปก็ต้องมีน้ำหนักพอที่จะยื่นได้ ไม่ยื่นพร่ำเพรื่อหรือยื่นไปอย่างนั้นเพื่อให้มีคดีแน่นอน และเมื่อมีเหตุยื่นได้ก็อยู่ที่ศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยอย่างไร โดยจะดูข้อเท็จจริงอย่างตรงไปตรงมา ถ้าไม่มีเหตุยื่นก็ไม่ยื่นแน่นอน แต่ถ้ายื่นต้องมีน้ำหนักให้ศาลพิจารณา” นายอภิสิทธิ์ กล่าว
ไม่ใช่ปลดล็อกแต่เป็นการเพิ่มล็อก
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า พรรคประชาธิปัตย์ไม่มีปัญหาดำเนินการตามกฎหมาย กติกาเขียนอย่างไรก็พยายามปฏิบัติ และยังไม่เห็นอุปสรรค มีแต่พรรคตั้งใหม่บ่น เพราะกระทบจากการที่คสช.ไม่ปลดล็อค อย่างไรก็ตาม การออกคำสั่งคสช.ครั้งนี้ไม่ใช่ปลดล็อค แต่เป็นการเพิ่มล็อค ทำให้ช้าไปอีกสามเดือนจนเป็นปัญหากับพรรคใหม่ ขอยืนยันว่าพวกตนไม่ติดใจที่จะมีพรรคการเมืองใหม่เกิดขึ้น เพราะเป็นประชาธิปไตย ยอมรับการแข่งขันตลอดเวลา แต่ขอให้แข่งขันด้วยการสร้างศรัทธาไม่ใช่เอาเครื่องมือต่าง ๆ มาทำลายคนอื่น
ซัดคำสั่งแก้ปัญหาให้ใครบางคน
หัวหน้าพรรคปชป. กล่าวอีกว่า คำสั่งคสช.ที่ออกมาเหมือนไม่เข้าใจโรดแมปของตัวเอง ทั้งๆ ที่ประธานกรธ. ซึ่งเป็นหนึ่งในแม่น้ำห้าสายรู้ว่าต้องออกกฎหมาย 4 ฉบับจากนั้นเหลือเวลา 150 วัน ต้องจัดการเลือกตั้งจึงรีบผลักดันให้กฎหมาย กกต.และพรรคการเมืองบังคับใช้ก่อน เพื่อให้มีเวลาปรับตัวให้ทุกคนเข้าสู่กระบวนการเลือกตั้งได้ เป็นสิ่งที่คิดอย่างดีและรอบคอบแล้ว แต่คำสั่งนี้เหมือนไม่เข้าใจตัวเอง เท่ากับต้องทำหลายอย่างซ้อนกัน จึงเป็นการแก้ปัญหาให้กับบางคนมากกว่าการแก้ปัญหาอย่างถูกจุด
เตือนรบ.อย่าซ้ำรอยระบอบทักษิณ
“ถ้าคิดใช้อำนาจรัฐเพื่อเอื้อประโยชน์ทางการเมือง ก็เดินกลับสู่ยุคระบอบทักษิณ จะหวังอะไรกับการปฏิรูปและธรรมาภิบาล ถ้ามีปัญหาพรรคใหม่ก็หาทางแก้ไป แต่ถ้าเมื่อไหร่ใช้อำนาจรัฐที่เบ็ดเสร็จพิเศษไม่สามารถตรวจสอบถ่วงดุลได้ บ้านเมืองเสียหาย ส่วนรวมเสียหาย บรรทัดฐานสำหรับอนาคตก็เสียหาย คนทำต้องรับผิดชอบ หากยึดหลักธรรมาภิบาลต้องโปร่งใส ตรงไปตรงมา รับผิดชอบ มีประสิทธิภาพ ลองไปดูว่าสิ่งที่รัฐบาลทำเข้าเกณฑ์เหล่านี้หรือไม่” นายอภิสิทธิ์ กล่าว
ลั่นถ้าไม่มีธรรมาภิบาลต้องคัดค้าน
และว่าการใช้อำนาจเบ็ดเสร็จไม่ควรใช้พร่ำเพรื่อ ควรทำในเรื่องใหญ่ๆ ทำแล้วไม่ต้องเปลี่ยนซ้ำแล้วซ้ำอีกและไม่เอื้อประโยชน์ใคร เรื่องได้เปรียบเสียเปรียบพรรคประชาธิปัตย์ไม่กังวล เพราะสู้ในสถานการณ์เสียเปรียบมาหลายรูปแบบ จึงไม่โวยวายหรือร้องขอ แต่ที่พูดต้องการรักษาหลักการบ้านเมือง ถ้าเสียเปรียบจากหลักการที่ถูกต้องพรรคยินดี แต่ถ้าไม่ถูกต้องไม่เป็นธรรมาภิบาลก็ต้องคัดค้าน ไม่ว่าจะได้เปรียบหรือเสียเปรียบ
ยอมรับเปิดช่องสส.เก่าย้ายพรรค
ส่วนกรณีที่ นายปริญญา เทวานฤมิตกุล รองอธิการบดีมาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ วิเคราะห์ว่าคำสั่งดังกล่าวมีผลทำให้ส.ส.ย้ายพรรคได้โดยไม่ต้องลาออกจากพรรคเดิม ทำได้โดยไม่ยืนยันการเป็นสมาชิก เสมือนเป็นการเซ็ตซีโรส.ส.ว่า คงสะดวกขึ้น แต่ไม่ใช่เรื่องใหญ่ เพราะไม่ว่าจะเป็นใคร อยากอยู่พรรคใหม่ ไปลาออกก็ไม่มีใครห้ามได้อยู่แล้ว แต่กรณีนี้อาจจะช่วยคนที่ไม่กล้าสู้หน้าที่จะมาลาออกเท่านั้น
อย่าใช้อำนาจรัฐทำเพื่อพวกพ้อง
“หากมีการใช้อำนาจรัฐจนทำให้การเลือกตั้งไม่เที่ยงธรรม ประเทศชาติจะเสียหาย ติดหล่มกับประชาธิปไตยที่เดินหน้าไม่ได้ ที่ผ่านมาเราคาดหวังมาตลอดว่าภายใต้การปฏิรูปประเทศเราจะได้ระบบการเมืองที่ดี สภาและรัฐบาลที่ดี ถ้าไม่สามารถนับหนึ่งจากการเลือกตั้งที่เที่ยงธรรมได้ก็ไม่ถึงเป้าหมาย จึงขอว่าอย่าเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน ประโยชน์ส่วนพวก ขอให้คิดถึงระยะยาว ประเทศมีปัญหามาตลอดเพราะไม่คิดถึงหลักการและธรรมาภิบาล” นายอภิสิทธิ์ กล่าว
“นิพิฏฐ์”ฟันธงม.44ขัดรธน.ปี60
นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรค ปชป. มั่นใจว่า การใช้คำสั่ง 53/2560 ของ คสช.นั้น ได้กระทบสิทธิของประชาชนตามรัฐธรรมนูญปี 2560 ที่ได้กำหนดไว้ ดังนั้นคำสั่งดังกล่าวจึงไม่น่ามีผลบังคับ แต่ก็ยังน่าเป็นห่วงว่าเราจะนำเรื่องนี้ขึ้นสู่ศาลรัฐธรรมนูญได้อย่างไร ซึ่งตนคิดว่าจะกระทำได้ 2 แนวทาง คือแนวทางที่ 1 ให้สมาชิกพรรคการเมืองที่ได้รับผลกระทบนำคดีไปสู่ศาลรัฐธรรมนูญ ตามมาตรา 213 แต่ก็มีปัญหาว่าในขณะนี้ยังไม่มี พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ และแนวทางที่ 2 คือการนำคดีขึ้นสู่ศาลรัฐธรรมนูญผ่านทางผู้ตรวจการแผ่นดิน
พท.ขยับยื่นศาลรธน.ตีความปมรีเซ็ต
วันเดียวกันผู้สื่อข่าวรายงานว่าพรรคเพื่อไทยได้ออกแถลงการณ์ เรื่อง คัดค้านการออกคำสั่งหัวหน้า คสช. ฉบับที่ 53/2560 โดยระบุว่า 1. การกำหนดให้สมาชิกพรรคการเมือง ถ้าประสงค์จะเป็นสมาชิกพรรคต่อไป ต้องยื่นหนังสือยืนยันไปยังหัวหน้าพรรคและแสดงหลักฐานการมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้าม พร้อมชำระค่าบำรุงพรรค ภายใน 30 วัน นั้น เป็นการ ลบล้างสมาชิกพรรคการเมืองที่มีอยู่ทั้งหมด การทำแบบนี้ไม่ต่างจาการสมัครใหม่ ซึ่งถือว่าเป็นการรีเซ็ตสมาชิกพรรค
หวั่นโดนคสช.เล่นตลบหลัง
2. การกำหนดให้การจัดประชุมใหญ่ของพรรค เพื่อแก้ไขข้อบังคับ การเลือกกรรมการบริหาร การจัดตั้งสาขาพรรค และตัวแทนพรรคประจำจังหวัด ต้องทำภายใน 180 วัน นับแต่มีการยกเลิกประกาศ คสช. ฉบับที่ 57/2557 และคำสั่ง คสช.ที่ 3/2558 นั้น เป็นความไม่แน่นอนอย่างยิ่งว่า คสช.จะยกเลิกประกาศและคำสั่งดังกล่าวเมื่อใด หากไปยกเลิกใกล้ๆ วันเลือกตั้ง พรรคก็ไม่สามารถดำเนินการดังกล่าวได้ทัน และอาจไม่สามารถส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งได้
ล็อคพรรคการเมืองไว้สองชั้น
3. กำหนดให้ดำเนินการต่างๆ จะต้องขออนุญาต คสช. ก่อน และถ้าจะขอขยายเวลา ก็ทำได้เพียงหนึ่งเท่าของเวลาเดิม ทั้งที่ตามกฎหมายพรรคการเมืองกำหนดให้ขยายได้ถึง 3 ปี และหากดำเนินการไม่ครบถ้วน ห้ามมิให้ส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งและห้ามมิให้จัดสรรเงินอุดหนุนให้พรรคการเมือง เท่ากับเป็นการล็อคพรรคการเมืองไว้สองชั้น และเกิดความ ไม่แน่นอนแก่พรรคการเมือง
ไม่เท่าเทียมกันตามกฎหมาย
4. กำหนดให้พรรคการเมืองที่จะจัดตั้งขึ้นใหม่สามารถดำเนินการจัดตั้งพรรคการเมือง จัดประชุมเพื่อเลือกกรรมการบริหาร จัดทำข้อบังคับได้ เพียงแต่การจัดประชุมเพื่อจัดตั้งพรรคต้องขออนุญาตจาก คสช. ก่อนเท่านั้น ยิ่งถือเป็นความไม่เท่าเทียมกันตามกฎหมาย มิใช่ เพื่อแก้ปัญหาความไม่เท่าเทียม
ซัดคสช.สืบทอดอำนาจจ่อส่งศาลรธน.
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในท้ายแถลงการณ์ของพรรคเพื่อไทยได้อ้างเหตุผลอีก 6 ข้อ เห็นว่าการออกคำสั่งหัวหน้า คสช. ดังกล่าว ขัดต่อบทบัญญัติ ของรัฐธรรมนูญ ขาดความชอบธรรม ละเมิดสิทธิเสรีภาพของสมาชิกพรรค เปิดโอกาสให้กลุ่มการเมืองบางกลุ่มได้จัดตั้งพรรค เพื่อปูทางให้คสช. ได้สืบทอดอำนาจต่อไป ซึ่งพรรคเพื่อไทยจะได้ยื่นเรื่องนี้ให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยต่อไป
เรืองไกรร้องศาลตีความคำสั่งคสช.
ขณะที่นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ คณะทำงานฝ่ายกฎหมายพรรคเพื่อไทย ยื่นคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าการกระทำของหัวหน้า คสช.กรณีออกคำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 53/ เป็นการกระทำการที่จำกัดสิทธิหรือเสรีภาพบุคคลที่เป็นสมาชิกพรรคการเมืองหรือไม่ และเป็นการกระทำที่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 45 ประกอบมาตรา 77 วรรคสอง และการออกคำสั่งดังกล่าวเป็นการกระทำอันต้องห้ามตามความในมาตรา 5 หรือไม่
นอกจากนั้นยังขอให้ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้คำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 53/2560 สิ้นผลไป โดยไม่มีผลใช้บังคับได้มาตั้งแต่แรก หรือเสมือนไม่เคยมีคำสั่งดังกล่าว
ไพบูลย์ยันพรรคใหม่ไม่ได้เปรียบ
ด้านนายไพบูลย์ นิติตะวัน ประธานเครือข่ายประชาชนปฏิรูป กล่าวว่า คำสั่งคสช.ที่ 53/2560 ไม่ได้เป็นการเอื้อประโยชน์ให้พรรคการเมืองใหม่ได้เปรียบพรรคการเมืองเดิมแต่อย่างใด ซึ่งเปรียบเทียบกับพรรคเดิมแล้วก็ต้องยอมรับว่าอย่างไรพรรคตั้งใหม่ก็ต้องมีขั้นตอนจัดตั้งพรรคที่มากกว่าและมีทรัพยากรต่างๆน้อยกว่า พรรคเดิมอยู่แล้วเป็นธรรมดา แต่ถ้าพรรคเก่าอ้างว่าเรื่องทำยาก ก็ขอให้ประชาชนพิจารณาดูว่า พรรคนั้นจะเสนอตัวไปบริหารจัดการประเทศที่มีเรื่องที่ต้องจัดการสลับซับซ้อนกว่ามากมายมหาศาลได้อย่างไร
ซัดพรรคใหญ่กลัวโดนลากไส้
นายไพบูลย์ กล่าวว่า ตนเห็นว่า คำสั่ง คสช.จะทำให้พรรคเดิมง่ายต่อการตรวจสอบยืนยันสถานภาพของสมาชิกพรรคของตัวเองง่ายกว่า และทำให้มีเงินจากค่าบำรุงพรรคเพิ่ม แต่กลับถูกโจมตีไปประเด็นอื่น หรือว่าพรรคเดิมมีเหตุอื่นที่ต้องการปกปิดประชาชนไว้ เช่น กลัวประชาชนจะรู้ว่าจริงๆ แล้ว ส่วนใหญ่ที่ปรากฏชื่อเป็นสมาชิกพรรคเดิมนั้น เป็นรายชื่อที่หัวคะแนนรวบรวมชื่อมาใส่ไว้เท่านั้นเอง
สร้างวาทกรรมเบี่ยงเบนใส่ร้ายคสช.
“คือ สมาชิกเหล่านั้นไม่รู้ไม่เห็นไม่สนใจที่มีส่วนร่วมสนับสนุนในกิจกรรมของพรรคนั้นเลย แต่ชื่อยังไปปรากฏค้างคาอยู่ในทะเบียนสมาชิกพรรคเดิม ก็เลยใช้วิธีเบี่ยงเบนเป็นว่า คำสั่งคสช. ที่ 53/2560 ออกมาเอื้อเวลาพรรคใหม่ให้ได้เปรียบพรรคเดิม คสช.รีเซตหรือเซตซีโร่ สมาชิกพรรคเดิม หรือ คสช.ต้องการยื้อเพื่อเลื่อนการเลือกตั้งบ้าง โดยใช้วาทกรรมเท็จโจมตี คสช. ทั้งที่โดยแท้จริงเพื่ออำพรางความจริงเกี่ยวกับจำนวนสมาชิกพรรคที่ผู้บริหารพรรคเดิมต้องการปกปิดไว้หรือไม่”นายไพบูลย์ กล่าว
สำนักข่าววิหคนิวส์