เป็นโต๊ะอิหม่ามแห่งมัสยิดนูรุ้ลเอี๊ยะห์ซาน ในโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริบ้านห้วยทรายใต้ อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี
แกโยกย้ายมาอยู่ที่นี่ตั้งแต่ปี ๒๕๓๑ พร้อมๆ กับการมาถึง ก็ได้พยายามทำทุกอย่างให้ชุมชนชาวมุสลิมแห่งนี้มีมัสยิด เพื่อชาวบ้านจะได้ละหมาดร่วมกันตามหลักศาสนา
และด้วยความตั้งใจอย่างแรงกล้านี้เอง ทำให้อิหม่ามแห่งบ้านห้วยทรายใต้ ต้องหลั่งน้ำตาแห่งความปีติ
สมัยนั้น ชุมชนบ้านห้วยทรายใต้เป็นหมู่บ้านเล็กๆ ชุมชนมุสลิม มีอยู่กันไม่กี่หลังคาเรือน
“ก็สอบถามชาวบ้านว่าได้ทำพิธีละหมาดกันวันศุกร์ตามกฎของศาสนาหรือไม่ ชาวบ้านบอกว่าไม่ได้ทำกันเลยตลอด ๓ ปี เพราะไม่มีมัสยิด”
ฮัจยีซบเป็นผู้เคร่งศาสนา จึงไม่ยอมปล่อยให้มีการละเลยกฎแห่งศาสดา
“ผมเห็นว่าเรื่องตามหลักศาสนานั้นสำคัญ ไม่อาจละเว้นได้ เลยคิดหาทางสร้างมัสยิด ก็ตัดสินใจใช้ที่ดินตัวเองในโครงการที่ใช้เงินส่วนตัวซื้อไว้โดยจะใช้สร้างมัสยิด ๑ ไร่ และอีก ๑ ไร่ไว้เป็นกุโบร์”
เมื่อลงมือก่อสร้างจนมัสยิดใกล้แล้วเสร็จ “สำนักจุฬาราชมนตรี” มีหนังสือมาให้ขึ้นทะเบียนมัสยิด
“ปัญหามันอยู่ตรงที่ว่า ที่ดินผืนนี้ไม่มีเอกสารสิทธิใดๆ เพราะแต่เดิมบ้านห้วยทรายใต้เป็นพื้นที่อภัยทานสัตว์ของในหลวงรัชกาลที่ ๖ ซึ่งเท่ากับเป็นที่ศักดิ์สิทธิ์ เอกสารการครอบครองที่ดินก็เลยออกไม่ได้ เมื่อไปติดต่อ ‘สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์’ ที่อำเภอ หัวหน้าสำนักงานก็บอกว่า ‘ลุงซบ ที่ตรงนี้ ถ้าจะจดให้ได้ มีอยู่อย่างเดียว คือต้องไปขอจาก ‘พระเจ้าแผ่นดิน’ เอา”
ด้วยความตั้งใจอย่างแรงกล้า ฮัจยีซบจึงมีความคิดที่จะไปขอเข้าเฝ้าฯ ในหลวง
“ผมก็รอจนในหลวงเสด็จฯ มาที่เขากระปุก ห่างมัสยิดประมาณ ๘ กิโลเมตร ชวนเพื่อนไปด้วยกันคนหนึ่ง พอไปถึงก็แจ้งต่อเจ้าหน้าที่ว่ามีเรื่องสำคัญอยากขอเข้าเฝ้าฯ พระองค์ท่าน สักพัก คนที่อารักขาก็บอกให้เข้าเฝ้าฯ ได้”
ด้วยเป็นเพราะภาระหน้าที่นั้นหนักหนาในอันที่จะขึ้นทะเบียนมัสยิดให้ได้ การได้เข้าเฝ้าฯ ในหลวงครั้งแรกในชีวิตของโต๊ะอิหม่าม แกจึงไม่ตื่นเต้นจนมือไม้สั่นเหมือนคนอื่นๆ
“เราก็กล่าวกับพระองค์ท่านไปตามที่เรามีเรื่องเดือดร้อน จำได้ว่าได้กราบบังคมทูลพระองค์ด้วยว่า ………..
จะขออัญเชิญพระองค์ให้เสด็จฯ ไปที่มัสยิด แต่พระองค์ตรัสว่า ‘วันนี้บ่ายแล้วไปไม่ทัน ต้องเป็นวันหลัง’ แล้วก็มีพระราชกระแสว่า ‘อีกสามวันฉันจะไปปล่อยปลาที่เขื่อนห้วยทราย ให้ไปบอกฉันอีกครั้งหนึ่ง’ ”
สามวันถัดมา ตัวฮัจยีซบก็ไปเข้าเฝ้าฯ ที่เขื่อนห้วยทรายถึงเรื่องมัสยิดอีกครั้ง
“ต่อมาไม่นาน พระองค์ท่านก็ทรงขับรถยนต์พระที่นั่งมาถึงมัสยิด พร้อมด้วยสมเด็จพระราชินี มีชาวบ้านมารอเฝ้านับร้อยเลยทีเดียว ผมก็กราบบังคมทูลเชิญให้ประทับนั่งบนมิมบัด”
“เนื่องจากมัสยิดเราเป็นมัสยิดเล็กๆ ของชาวบ้าน ไม่มีที่อันสมควรกับพระองค์ท่าน มีก็แต่มิมบัดที่อิหม่ามใช้เป็นที่สอนศาสนา เราก็คิดว่า ที่ตรงนี้สมควรกับพระองค์ท่านที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพราะคนที่จะนั่งตรงนี้ได้ ต้องเป็นผู้ที่สั่งสอนประชาชนได้”
“เมื่อประทับนั่งแล้ว ก็ยังทรงไม่ทราบเรื่องว่าเราต้องการอะไร พระองค์ท่านตรัสถามว่า ‘เชิญฉันมาเพราะเหตุใดรึ’ เราก็ดีใจ รีบกราบบังคมทูลว่า ข้าพเจ้าสร้างมัสยิดโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ว่าสถานที่นี้เป็นที่ดินศักดิ์สิทธิ์ของในหลวง แต่เมื่อสร้างแล้วก็ไม่สามารถขึ้นทะเบียนได้ จึงจะขอพระราชทานเอกสารหลักฐานที่ดิน เพื่อให้มัสยิดนี้ดำเนินการได้อย่างถูกต้อง”
เมื่อกราบบังคมทูลแล้ว พระองค์ท่านก็ทรงเรียก ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล เข้ามาตรัสว่า ‘เรื่องนี้สำคัญนะ เป็นเรื่องศาสนา จงทำหลักฐานที่ดินให้มัสยิดนี้จดทะเบียนได้’
จากนั้นพระองค์ก็ตรัสถามว่า ‘ที่ดินตรงนี้ใครเป็นผู้ครอบครอง’ เราก็กราบทูลว่า ‘ข้าพเจ้าครอบครองเอง’
“พระองค์ท่านตรัสถามอีกว่า ‘อุทิศไว้สร้างมัสยิดกี่ไร่’ เราก็กราบบังคมทูลว่า ๒ ไร่ เป็นสุสานอีก ๑ ไร่ จากนั้นผมก็ได้ยินสิ่งที่ไม่คาดฝันเมื่อพระองค์ท่านมีพระราชกระแสว่า ‘เอาอย่างนี้นะ ฉันให้เพิ่มอีก ๕ ไร่’ พอได้ยินอย่างนั้น เราทั้งตื่นเต้น ดีใจ และซาบซึ้งใจ น้ำตามันไหลออกมา ร้องไห้เลย ต้องปาดน้ำตาเบื้องหน้าพระพักตร์นั้นเอง”
และแล้วอิหม่ามผู้เคร่งศาสนาก็ตัดสินใจกราบบังคมทูลในสิ่งที่สำคัญที่ไม่คาดหมาย แกเล่าว่า ได้กราบบังคมทูลพระองค์ท่านทั้งน้ำตาว่า
“ข้าพเจ้ากับราษฎรที่มาเข้าเฝ้าฯ ในวันนี้ขอถวายที่ดินและมัสยิดนี้ให้อยู่ในพระอุปการะของพระองค์ด้วยพระเจ้าข้า” เมื่อได้ฟังดังนั้นพระองค์ท่านก็ตรัสว่า “ฉันรับด้วยความเต็มใจ” แล้วก็พระราชทานทรัพย์ให้ไว้เพื่อดำเนินกิจการมัสยิดอีกสองหมื่นบาท โดยมีรับสั่งว่าให้ทำอาณาเขตโดยก่อกำแพงเตี้ยๆ ล้อมพื้นที่ ๗ ไร่นี้ด้วย
แม้เวลาจะผ่านมาร่วมๆ ๒๐ ปี ทุกครั้งที่นึกถึงเรื่องนี้ น้ำตาแห่งความซาบซึ้งใจก็จะเอ่อท้นในดวงตาของอิหม่ามไม่เว้นแม้แต่ครั้งนี้ ฮัจยีซบร่ำไห้ด้วยความตื้นตันอีกครั้ง
นอกจากมัสยิดแล้ว ในหลวงยังทรงริเริ่มโครงการต่างๆ เพื่อให้ชาวบ้านห้วยทรายมีรายได้มากขึ้น
“พระองค์ท่านทรงริเริ่มให้ปลูกแคนตาลูป แตงโม ข้าวโพด คือทรงต้องการให้ปลูกพืชหลากหลายชนิด แต่ที่ดินตรงนี้เราปลูกสับปะรดกันมานานจนทำให้ดินเสื่อมสภาพ ต่อมาพระองค์ท่านจึงทรงแนะนำให้ปลูกหญ้า พืชคลุมดิน เลี้ยงแพะและวัวนม นอกจากนั้นก็ยังให้มีศูนย์เจียระไนพลอย มีศูนย์เด็กเล็กก่อนวัยเรียน ซึ่งโครงการนี้ในหลวงทรงริเริ่มไว้ทั้งหมด แล้วต่อมาสมเด็จพระเทพฯ ก็ได้ทรงมาสานต่อ”
“ในหลวงท่านทรงมีพระเมตตา และส่งเสริมด้านศาสนา ให้ความสำคัญกับทุกศาสนา ไม่มีแบ่งแยก เป็นความซาบซึ้งใจอย่างยิ่งของผมที่ได้รับพระมหากรุณาธิคุณ ทรงรับเป็นองค์อุปถัมภกมัสยิดของเราโดยไม่ทรงลังเล”
มัสยิดเล็กๆ บนที่ดินพระราชทานเมื่อกว่าสิบปีก่อน ก็ได้รับการพัฒนาขึ้นใหม่ให้เป็นมัสยิดที่งดงาม เมื่อปี พ.ศ.๒๕๔๑ และฮัจยีซบกำลังจัดทำโครงการสร้างศาลาสมานฉันท์เพื่อร่วมเฉลิมพระเกียรติในวาระครองราชย์ครบ ๖๐ ปี
“ตอนที่คิดจะสร้างมัสยิดขึ้นใหม่ พระองค์ท่านเสด็จฯ มา เราได้กราบบังคมทูลว่าจะรื้อมัสยิดหลังเก่าแล้วสร้างใหม่ พระองค์ท่านก็ตรัสถามว่ามีแปลนหรือยัง และตรัสถามถึงงบประมาณการก่อสร้าง ผมก็กราบบังคมทูลว่าเป็นเงิน ๔-๕ ล้านบาท”
“เมื่อสมเด็จพระราชินีทรงได้ยินยังตรัสว่า ‘แล้วลุงซบจะเอาเงินมาจากไหน มันมากนะ’ เราเองก็เลยกราบบังคมทูลว่า ‘หากพระองค์ท่านทรงรับเป็นองค์ประธานในการก่อสร้างมัสยิด เงินก่อสร้างก็จะมาเองพระเจ้าข้า’ ในหลวงทรงได้ยินที่ผมกราบบังคมทูล ท่านก็ทรงยิ้ม ไม่ตรัสว่าอะไร ส่วนสมเด็จพระราชินีท่านทรงพระสรวลแล้วก็ตรัสว่า ‘ลุงซบนี่ฉลาดนะ’ ต่อมาพระองค์ท่านได้ทรงมอบหมายให้สมเด็จพระเทพฯ เสด็จฯ มาวางศิลาฤกษ์ แล้วมัสยิดก็ประสบผลสำเร็จ คนมาทำบุญกันเยอะ”
ฮัจยีซบเล่าด้วยความภาคภูมิใจ
“เพราะพระองค์ท่านโดยแท้ จึงทำให้มีมัสยิดแห่งนี้ ผมยังจำได้ดีเลย ครั้งหนึ่งที่พระองค์ท่านเสด็จฯ มา มีคนจีนคนหนึ่งนำเงินมาทูลเกล้าฯ ถวาย ๕๐๐,๐๐๐ บาท พระองค์ตรัสถามผู้บริจาคว่า ‘ถวายให้ฉันใช่ไหม’ เขาก็บอกว่า ‘ใช่ ให้กับพระองค์ท่าน’ ในหลวงก็ทรงส่งเงินบริจาคนั้นมาให้กับมือของผมแล้วตรัสว่า ‘ฉันให้ลุงซบไปทำมัสยิด’
วันนั้นเป็นอีกหนึ่งวันที่ผมตื้นตันใจอย่างยิ่ง เพราะพระองค์ท่านทรงมอบเงินให้กับมือของเราด้วยพระองค์เอง สิ่งที่ได้ทรงทำให้พวกเราถึงขนาดนี้ ทำให้เราต้องบอกตัวเองว่าจะดูแลมัสยิดแห่งนี้ให้ดีที่สุด”
ตลอดระยะเวลา ๑๐ ปี นับจากเสด็จพระราชดำเนินมาเป็นครั้งแรกเมื่อปี ๒๕๓๓ จนถึงปี ๒๕๔๓ ในหลวงเสด็จพระราชดำเนินมายังมัสยิดนูรุ้ลเอี๊ยะห์ซานรวม ๗ ครั้ง และทุกครั้งที่เสด็จฯ ก็จะประทับนั่งที่มิมบัดตัวนั้น
จวบจนมัสยิดหลังใหม่สร้างแล้วเสร็จอย่างใหญ่โตโอฬาร มิมบัดตัวเดิมก็ยังถูกเก็บรักษาไว้อย่างดี
“ผมต้องเก็บไว้ เพราะนี่เป็นสิ่งสำคัญที่พระเจ้าแผ่นดินประทับนั่ง มิมบัดนี้มีความหมายทางใจเป็นพิเศษไม่เฉพาะกับผม แต่สำหรับชาวบ้านทุกคน ความทรงจำทั้งมวลของเราอยู่ที่นี่ เก้าอี้ศักดิ์สิทธิ์ที่ครั้งหนึ่งในหลวงประทับนั่ง และทรงรับดูแลมัสยิดของเราไว้ ประวัติศาสตร์ของพวกเราจึงอยู่บนเก้าอี้ตัวนี้
ศาสนกิจในมัสยิดแห่งนี้ ดำเนินไปตามหลักศาสนาโดยไม่ขาดตกบกพร่อง ขณะเดียวกันที่นี่ยังเป็นศูนย์รวมใจของพี่น้องชาวมุสลิมแห่งบ้านห้วยทรายในอันที่จะร่วมกันขอพรจากองค์อัลลอฮ์
ในยามที่ทรงพระประชวร พวกเราก็จะสวดขอพรให้มีพระพลานามัยแข็งแรง และให้อยู่เป็นมิ่งขวัญให้กับปวงชนชาวไทยไปอีกนานๆ”
ในวัย ๘๔ ปี ฮัจยีซบยังมีสุขภาพแข็งแรงดี แต่สิ่งที่แกวิตกคือ เมื่อเวลาผ่านไป คนรุ่นหลังที่ไม่เคยได้รับรู้ว่าในหลวงมีพระมหากรุณาธิคุณต่อชีวิตของแก และมัสยิดแห่งนี้ ตลอดจนชุมชนห้วยทรายใต้อย่างไรบ้าง จนละเลยต่อคำสอนของในหลวง
ด้วยเหตุนี้ แกจึงมีแนวคิดแต่งเพลงเกี่ยวกับในหลวงให้ร้องกันในชุมชน เนื้อหาเพลงกล่าวถึงพระมหากรุณาธิคุณ ที่มีต่อชุมชนมุสลิมแห่งบ้านห้วยทรายใต้
และครั้งนี้ บนแผ่นดินอันสงบศานติ ฮัจยีซบได้เปลี่ยนหยาดน้ำตามาเป็นบทเพลง.
Cr.
จากนิตยสาร ฅ.คน ฉบับที่ ๑๔ เดือนธันวาคม ๒๕๔๙
กนกจอม เอกวงศ์กุล
สำนักข่าววิหคนิวส์