BTimes – Dec 25, 2025 เสี่ยงขึ้น! วิจัยกสิกร ชี้หนี้สาธารณะไทยจ่อแตะเพดาน 70% ภายในปี 2570 หากเศรษฐกิจไทยโต 3% ต่อปี ห่วงถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือ แนะถอดบทเรียนจากต่างประเทศ
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุว่า ฐานะการคลังของไทยอ่อนแอกว่าประเทศที่มีอันดับความน่าเชื่อถือระดับเดียวกัน (BBB+ หรือ Baa1) โดยเฉพาะหนี้สาธารณะที่เพิ่มเร็วและการขาดดุลที่สูงต่อเนื่อง หากเศรษฐกิจไทย (Nominal GDP) เติบโตเพียง 3% ต่อปี การขาดดุลอาจยังเกิน -4% ของ GDP และหนี้สาธารณะอาจแตะเพดาน 70% ภายในปี 2570 สถานการณ์ดังกล่าวเพิ่มความเสี่ยงที่ไทยจะถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือในระยะข้างหน้า
ส่วนแผนการคลังระยะปานกลางปี 2570–2573 ของไทย ตั้งเป้าลดการขาดดุลลงสู่ 3% ของ GDP ภายในปี 2572 ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดี อย่างไรก็ตาม ยังมีข้อกังวลเกี่ยวกับสมมติฐานการเติบโตของ GDP ที่อาจสูงกว่าความเป็นจริง ตลอดจนความต่อเนื่องของการลดการขาดดุลการคลัง
โดยบทเรียนจากต่างประเทศชี้ว่า อิตาลีสามารถหลีกเลี่ยงการถูกลดอันดับความน่าเชื่อถือได้โดยการดำเนินมาตรการลดขาดดุลอย่างจริงจัง ทั้ง การเพิ่มรายได้ ลดรายจ่าย และยกระดับประสิทธิภาพภาครัฐ ซึ่งไทยสามารถใช้เป็นแนวทางลดการขาดดุลการคลังได้ แต่จำเป็นต้องพิจารณาขอบเขตการดำเนินการที่กว้างขึ้น เช่น การขยายฐานภาษี การให้แผนการคลังมีผลผูกพันทางกฎหมาย กลไกตรวจสอบงบประมาณที่เข้มแข็ง และการปฏิรูประบบราชการเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและควบคุมรายจ่ายภาครัฐในระยะยาว
หากไทยถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือก็ยังไม่ถือว่าเข้าสู่ภาวะวิกฤตทางการคลังในระยะสั้น เนื่องจากอันดับความน่าเชื่อถือในปัจจุบันยังคงอยู่ในระดับที่น่าลงทุน (Investment Grade) และสูงกว่าระดับที่ต่ำกว่าการลงทุน (Non-investment Grade) อยู่ 2 ระดับ แต่จะส่งผลต่อต้นทุนการกู้ยืม รวมถึงการดึงดูดการลงทุน
สัญญาณเตือนจากสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ
ก่อนช่วงโควิด-19 ไทยมีระดับหนี้สาธารณะอยู่ที่ 6.9 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น 41.2% ของ GDP แต่สถานการณ์โควิด-19 ทำให้รัฐบาลต้องใช้งบประมาณจำนวนมากเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ส่งผลให้หนี้สาธารณะไทยเร่งตัวสูงขึ้นเข้าใกล้ 10 ล้านล้านบาท จนเกินระดับเพดานที่กำหนดไว้เดิมที่ 60% ของ GDP
ในปี 2564 รัฐบาลจึงต้องขยายเพดานเป็น 70% ของ GDP อย่างไรก็ดี ระดับหนี้สาธารณะไทยปัจจุบัน ณ เดือนต.ค. 2568 อยู่ที่ 65.2% ของ GDP ซึ่งยังต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market) ที่ 69.0% ของ GDP แต่แนวโน้มหนี้สาธารณะของไทยอยู่ในจุดที่น่ากังวลมากกว่า เนื่องจากแนวโน้มเศรษฐกิจไทยที่เติบโตต่ำ
ในปี 2568 สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ (Credit Rating Agency) ทั้ง Moody’s และ Fitch Rating ปรับลดมุมมองอันดับความน่าเชื่อถือของไทย (Outlook) จากระดับ “มีเสถียรภาพ” เป็น “เชิงลบ” ในเดือนเม.ย. และ เดือนก.ย. 2568 ตามลำดับ โดยข้อกังวลสำคัญในการปรับลดมุมมองของทั้งสองสถาบันมาจากภาพการคลังที่อ่อนแอลง ขณะที่แนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ชะลอลง ส่งผลให้ไทยมีความเสี่ยงถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือในระยะข้างหน้า
แผนการคลังระยะปานกลางช่วยลดแรงกดดันจากการถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือ แต่ภาพรวมฐานะการคลังไทยก็ยังอยู่ในจุดที่เปราะบาง
หลังจากที่ไทยถูกทั้ง Moody’s และ Fitch ปรับลด Outlook จากระดับ ‘คงที่’ สู่ ‘เชิงลบ” สร้างความกังวลว่าไทยมีความเสี่ยงอาจถูกทบทวนอันดับความน่าเชื่อถือ อย่างไรก็ดี นโยบายของรัฐบาลในช่วงที่ผ่านมามีส่วนช่วยให้ในเดือนพ.ย. 2568 ไทยสามารถหลีกเลี่ยงการถูกปรับลด Outlook สู่ระดับ ‘เชิงลบ’ จาก S&P โดย S&P ให้เหตุผลว่าไทยจะยังคงรักษาอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจในระดับใกล้เคียงกับประเทศที่มีระดับการพัฒนาเดียวกันได้ในช่วง 12-24 เดือนข้างหน้า และการประคับประคองเศรษฐกิจจากนโยบายการคลังของรัฐบาล นอกจากนี้ รัฐบาลได้แสดงความตั้งใจที่จะรักษาวินัยทางการคลังเพื่อรองรับความเสี่ยงด้านการคลังมากขึ้น ดังนี้
1) การอนุมัติงบกลาง 35,000 ล้านบาท เพื่อชำระหนี้จากการที่รัฐบาลมอบหมายให้หน่วยงานรัฐรับภาระค่าใช้จ่ายไปก่อนตามมาตรา 28 พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ โดยเฉพาะชำหนี้แก่ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร
2) การทบทวนแผนการคลังระยะปานกลาง (Medium-Term Fiscal Framework: MTFF) โดยรัฐบาลตั้งเป้าหมายที่จะลดการขาดดุลงบประมาณ และไม่ขยายเพดานหนี้สาธารณะเกิน 70% ของ GDP
ฐานะการคลังไทยยังอยู่ในจุดเปราะบาง
แผนการคลังระยะปานกลางปี 2570-2573 ที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบเมื่อวันที่ 18 พ.ย. 2568 แสดงให้เห็นถึงความตั้งใจของรัฐบาลที่จะลดการขาดดุลงบประมาณให้ต่ำกว่า 3.0% ต่อ GDP ในปี 2572 แต่ความเสี่ยงที่ไทยจะถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือในระยะข้างหน้ายังคงมีอยู่ ด้วยเหตุผลดังนี้
1.แผนลดการขาดดุลงบประมาณในระยะ 5 ปีข้างหน้า อยู่บนสมมติฐานการเติบโตทางเศรษฐกิจ (Nominal GDP) เฉลี่ยที่ 4.0% ขณะที่เศรษฐกิจไทยในช่วงหลังโควิด-19 (ปี 2566-2568) เติบโตเฉลี่ย 2.9% (รูปที่ 1) และเศรษฐกิจไทยในระยะ 5 ปีข้างหน้า มีแนวโน้มเติบโตเฉลี่ย (Nominal GDP) ที่ราว 3% ชะลอลงจากปัญหาเชิงโครงสร้างและความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก ซึ่งส่งผลให้
· การขาดดุลงบประมาณคาดว่า จะยังสูงกว่า 3.0% ของ GDP ในปี 2572 โดยในปีงบประมาณ 2568 ขาดดุลจริงอยู่ที่ 4.8%
· หนี้สาธารณะแตะเพดานที่ 70% ของ GDP ในปี 2570 โดยในเดือนต.ค. 2568 มีสัดส่วนที่ 65.2%
2. ตัวชี้วัดในกรอบวินัยการคลัง (Fiscal rules) เพื่อใช้เป็นกรอบในการบริหารหนี้สาธารณะบางตัวเข้าใกล้กรอบเป้าหมายที่กำหนดไว้มากขึ้น ทั้งนี้ แม้กรอบฯ ดังกล่าวจะไม่เป็นข้อผูกพันทางกฎหมายโดยตรง แต่หากเกินกรอบฯ ต้องรายงานต่อคณะรัฐมนตรี ส่งผลให้การใช้นโยบายการคลังในอนาคตมีข้อจำกัดมากขึ้น อีกทั้งเป็นจุดจับตาของสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ โดยกรอบฯ ดังกล่าวสะท้อนความเปราะบางด้านวินัยทางการคลังของไทย ได้แก่
· สัดส่วนภาระหนี้ของรัฐบาลต่อรายได้ ถูกกำหนดเพดานไว้ที่ 50% หลังจากปรับเพิ่มจาก 30% ในเดือนก.ย. 2568 โดยข้อมูลล่าสุด ณ เดือนก.ย. 2568 อยู่ที่ 37.1% สะท้อนว่าภาระหนี้ทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยขยายตัวเร็วกว่ารายได้รัฐ หรือโครงสร้างรายได้เติบโตไม่ทันรายจ่าย ส่งผลให้พื้นที่การคลังของไทยลดลง ทั้งนี้ หากสัดส่วนดังกล่าวเกิน 60% จะยิ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อวิกฤตการคลังเหมือนที่เคยเกิดขึ้นในกรีซและอาร์เจนตินา
· สัดส่วนยอดหนี้คงค้างรวมจากกิจกรรมกึ่งการคลังต่องบประมาณรายจ่ายประจำปีที่เกิดจากการรับภาระตามนโยบายรัฐ ตามมาตรา 28 พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลัง ที่ตั้งเพดานไว้ที่ 32% ทั้งนี้ หนี้กึ่งการคลังจะไม่ถูกนับเป็นหนี้สาธารณะทันที แต่หากโครงการขาดทุน หนี้จึงจะถูกดึงกลับเข้ามาเป็นภาระงบประมาณของรัฐโดยตรง จึงเป็นความเสี่ยงทางการคลังที่สำคัญ ทั้งนี้ ในงบประมาณรายจ่ายปี 2568 ประมาณการภาระผูกพันอยู่ที่ 1,133,751 ล้านบาท หรือคิดเป็น 30.2% ของงบประมาณรวม ซึ่งเป็นระดับที่เข้าใกล้เพดานที่ 32%
3. ภาระงบประมาณจากสังคมสูงวัยเร่งตัว โดยในปี 2572 ไทยจะเข้าสู่สังคมสูงวัยแบบสมบูรณ์ (Super-aged society) หรือ 20% ของประชากรไทยมีอายุมากกว่า 65 ปี ซึ่งหมายถึงภาระทางการคลังที่จะเพิ่มขึ้นจากทั้งรายจ่ายงบประมาณด้านบำนาญ การออม งบประมาณรายจ่ายด้านสาธารณะสุข เช่น บัตรทอง สวัสดิการข้าราชการ รวมถึงสวัสดิการผู้สูงอายุ โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินงบประมาณรายจ่ายของรัฐที่เกี่ยวเนื่องกับสังคมสูงวัยจะเพิ่มจาก 24.7% ของงบประมาณรายจ่ายประจำปี ในปี 2568 ไปเป็น 28.5% ของงบประมาณรายจ่ายประจำปี ในปี 2572
ถอดบทเรียนจากอิตาลีและฝรั่งเศส – การทบทวนอันดับความน่าเชื่อถือ กับการปฏิรูปการคลัง
อิตาลี
อิตาลีถือเป็นตัวอย่างของประเทศที่เคยเผชิญการถูกปรับลดมุมมองและอันดับความน่าเชื่อถือจากปัญหาด้านการคลัง แต่สามารถฟื้นฟูฐานะการคลังได้อย่างเป็นรูปธรรม จนส่งผลให้ไม่เพียงแต่หลีกเลี่ยงการถูกปรับลดอันดับ แต่ยังสามารถปรับขึ้นอันดับความน่าเชื่อถือโดยในปี 2563 จากวิกฤตโควิด-19 อิตาลีใช้นโยบายการคลังฉุกเฉินขนาดใหญ่ ส่งผลให้การขาดดุลการคลังเพิ่มขึ้นเป็น 9.4% ของ GDP และหนี้สาธารณะสูงเกิน 150% ของ GDP ก่อนจะถูกปรับลดอันดับและมุมมองความน่าเชื่อถือในช่วงปี 2563–2565 ท่ามกลางผลกระทบจากสงครามรัสเซีย–ยูเครน
ในช่วงปี 2567–2568 เศรษฐกิจและเสถียรภาพทางการเมืองของอิตาลีปรับดีขึ้นควบคู่กับการดำเนินนโยบายการคลังแบบหดตัวอย่างต่อเนื่อง ทำให้การขาดดุลลดลงต่ำกว่า 4% ของ GDP และหนี้สาธารณะลดลงต่ำกว่า 140% ของ GDP ส่งผลให้บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือปรับอันดับความน่าเชื่อถืออิตาลีขึ้น โดย S&P และ Fitch ปรับเป็น BBB+ และ Moody’s ปรับจาก Baa3 เป็น Baa2 ในเดือนพ.ย. 2568 สะท้อนความก้าวหน้าในการลดการขาดดุลและการรักษาวินัยการคลัง
อิตาลีประสบความสำเร็จในการลดการขาดดุลการคลัง เป็นผลมาจากการผสมผสานของนโยบายเพิ่มรายได้ ลดรายจ่าย และที่สำคัญที่สุด คือ วินัยการคลัง เพิ่มความโปร่งใส และมีนโยบายที่ชัดเจน กลไกติดตามตรวจสอบที่มีความน่าเชื่อถือ โดยมีรายละเอียดดังนี้
ด้านรายได้ ภาครัฐเพิ่มสัดส่วนรายได้จาก 46.8% เป็น 47.1% ของ GDP ผ่านการปรับโครงสร้างภาษีให้สอดคล้องกับเศรษฐกิจดิจิทัลและสิ่งแวดล้อม การเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บด้วยระบบดิจิทัล และการขยายฐานภาษีโดยดึงเศรษฐกิจนอกระบบเข้าสู่ระบบ
ด้านรายจ่าย ลดสัดส่วนรายจ่ายจาก 54.9% เหลือ 50.4% ของ GDP โดยยุติมาตรการชั่วคราวหลัง โควิด-19 ยกระดับประสิทธิภาพงบประมาณผ่าน Spending Review และปรับสวัสดิการให้ตรงกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น
อย่างไรก็ดี มาตรการรายได้และรายจ่ายจะไม่ยั่งยืนหากขาดกรอบวินัยทางการคลังที่เข้มแข็ง รัฐบาลอิตาลีจึงให้ความสำคัญสูงสุดกับการทำ fiscal consolidation ผ่านกลไกเชิงสถาบัน ได้แก่ การใช้ Multi-Year Medium-Term Budgetary Framework (MTBF) เพื่อควบคุมการใช้จ่ายในกรอบระยะกลาง การเสริมความโปร่งใสผ่านหน่วยงานอิสระอย่าง UPB ที่ทำหน้าที่ประเมินและตรวจสอบนโยบายการคลัง และการลดความซ้ำซ้อนของภาครัฐด้วยการควบรวมหน่วยงาน การจัดซื้อรวมศูนย์ และ e-Government
ฝรั่งเศส
ฝรั่งเศสถือเป็นกรณีที่แตกต่างจากอิตาลีในด้านการจัดการการคลัง โดยในช่วงวิกฤตโควิด-19 ในปี 2563 รัฐบาลฝรั่งเศสออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจขนาดใหญ่ ส่งผลให้การขาดดุลการคลังเพิ่มขึ้นจาก 2.4% เป็น 8.9% ของ GDP และหนี้สาธารณะเพิ่มจาก 98% เป็น 115% ของ GDP แม้เศรษฐกิจจะฟื้นตัวบางส่วนหลังโควิด-19 แต่ฝรั่งเศสยังเผชิญการขาดดุลการคลังในระดับสูงและต่อเนื่อง โดยคาดว่าจะยังสูงกว่า 5% ของ GDP ในช่วงปี 2567–2568 ขณะที่หนี้สาธารณะยังคงเกิน 115% ของ GDP ในปี 2568 ส่งผลให้ ในปี 2568 บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือหลายแห่งปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของฝรั่งเศสต่อเนื่องจากปีก่อนหน้า โดย S&P และ Fitch ปรับลดจาก AA- เป็น A+ ขณะที่ Moody’s ปรับลดแนวโน้มเป็นเชิงลบ สะท้อนความกังวลต่อระดับหนี้ที่ยังเพิ่มขึ้น การขาดแนวทางการปรับสมดุลการคลังที่ชัดเจน และความแตกแยกทางการเมืองซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการลดการขาดดุลลงสู่เป้าหมาย 3% ของ GDP ภายในปี 2572 ตามแผนเดิมของ
ความท้าทายด้านการคลังของฝรั่งเศสสะท้อนข้อจำกัดเชิงโครงสร้างที่ทำให้การปรับปรุงฐานะการคลังเป็นไปได้ยาก
ด้านรายได้ มาตรการเพิ่มรายได้ยังไม่เห็นผลชัดเจน โดยการปรับลดอัตราภาษีนิติบุคคลจาก 33% เหลือ 25% ในปี 2565 แม้จะช่วยจูงใจการลงทุน แต่ในระยะสั้นกลับทำให้รายได้ภาษีหดตัว และยังไม่สามารถสร้างฐานรายได้ใหม่มาชดเชยได้ ขณะที่การปรับขึ้นภาษีทรัพย์สินและภาษีความมั่งคั่งทำได้อย่างจำกัดจากความอ่อนไหวทางการเมือง
ด้านรายจ่าย ภาครัฐมีขนาดใหญ่และตัดลดยาก โดยในปี 2567 รายจ่ายภาครัฐอยู่ที่ 57.1% ของ GDP สูงกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศในยูโรโซนอย่างมีนัยสำคัญ รายจ่ายสวัสดิการสังคม โดยเฉพาะบำนาญและสาธารณสุข เป็นรายจ่ายเชิงโครงสร้างที่ปรับลดได้ยาก อีกทั้งรัฐบาลยังคงใช้มาตรการพยุงค่าครองชีพ เช่น การตรึงราคาพลังงานและการลดภาษีพลังงานอย่างต่อเนื่อง ทำให้การควบคุมรายจ่ายมีข้อจำกัด
ขณะเดียวกัน ความล่าช้าในการปฏิรูประบบบำนาญยิ่งเพิ่มแรงกดดันต่อฐานะการคลัง โดยค่าใช้จ่ายบำนาญอยู่ในระดับสูงมากเมื่อเทียบกับประเทศในสหภาพยุโรป แม้รัฐบาลพยายามปฏิรูปด้วยการขยายอายุเกษียณและเพิ่มระยะเวลาการส่งเงินสมทบ แต่การต่อต้านจากสหภาพแรงงานและประชาชนทำให้การดำเนินนโยบายเป็นไปด้วยความล่าช้า และจำกัดความสามารถในการลดภาระการคลังในระยะยาว
หลังจากที่ฝรั่งเศสถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือในช่วงเดือก.ย.-ต.ค. 2568 ที่ผ่านมา พบว่าต้นทุนทางการเงินของรัฐบาลฝรั่งเศสเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งยิ่งเพิ่มภาระทางการคลังและเป็นข้อจำกัดของรัฐบาลในการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน การใช้จ่ายด้านสวัสดิการ หรือออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อรองรับแรงกระแทกทางเศรษฐกิจในอนาคต และหากสถานการณ์นี้ยืดเยื้อออกไป ความเชื่อมั่นของนักลงทุนอาจลดลง และกระทบต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศได้ สะท้อนจากตัวชี้วัดต้นทุนทางการเงิน
นอกจากนี้ การปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของรัฐบาลฝรั่งเศสยังส่งผลกระทบต่อหน่วยงานและสถาบันภาครัฐอื่นๆ โดยบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือได้ปรับลดอันดับของหน่วยงานภาครัฐเหล่านี้ตามไปด้วย ส่งผลให้ต้นทุนการระดมทุนผ่านการออกพันธบัตรของหน่วยงานเหล่าสูงขึ้น อย่างไรก็ดี อัตราผลตอบแทนพันธบัตรภาคเอกชน (Corporate bond yield) ซึ่งสะท้อนต้นทุนการระดมทุนของบริษัทนั้นขึ้นอยู่กับฐานะการเงินและคุณภาพเครดิตของแต่ละบริษัทเป็นหลัก ตัวอย่างเช่น บริษัทใหญ่ของฝรั่งเศสอย่าง L’Oréal, Axa, LVMH และ Sanofi ไม่ได้ถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือตาม และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรของบริษัทเหล่านี้ก็ไม่ได้สูงขึ้นตาม โดยบางรายมีอัตราผลตอบแทนพันธบัตรต่ำกว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลในอายุ (Maturity) เดียวกันด้วยซ้ำ ในทางกลับกัน บริษัทที่มีเครดิตต่ำหรือบริษัทที่พึ่งพาการระดมทุนโดยมีรัฐบาลเป็นหลักประกันจะได้รับผลกระทบจากต้นทุนการเงินที่สูงขึ้นมากกว่า
แนวทางปรับตัวของไทย
บทเรียนจากอิตาลีและฝรั่งเศสสะท้อนว่า ความเสี่ยงด้านการคลังอาจนำไปสู่การปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือนั้นสามารถหลีกเลี่ยงได้ หากสามารถลดการขาดดุลการคลังได้อย่างเป็นรูปธรรมและต่อเนื่อง โดยการปฏิรูปการคลังจำเป็นต้องดำเนินการเชิงโครงสร้างอย่างเป็นระบบ ไม่ใช่เพียงการปรับรายได้หรือรายจ่ายบางส่วน ทั้งนี้ ควรมีกลไกงบประมาณล่วงหน้าหลายปีที่มีผลผูกพันทางกฎหมาย ควบคู่กับองค์กรอิสระในการตรวจสอบและถ่วงดุลการใช้งบประมาณ รวมถึงการปรับขนาดภาครัฐและยกระดับประสิทธิภาพการใช้จ่ายให้สอดคล้องกับศักยภาพเศรษฐกิจ
การปรับลดการขาดดุลงบประมาณอย่างยั่งยืนของไทยจำเป็นต้องบูรณาการหลายแนวทางให้เกิดเป็นรูปธรรม
แนวทางเพิ่มรายได้และลดรายจ่ายตามแผนการคลังระยะปานกลางฯ ดังกล่าว เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีที่จะควบคุมความเสี่ยงทางการคลังไม่ให้เพิ่มขึ้น โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยมีข้อเสนอแนะและความเห็นเพิ่มเติม ดังนี้
1.การเพิ่มรายได้ โดยรายได้งบประมาณเกือบทั้งหมดมาจากการเก็บภาษี แต่ช่วง 10 ปีที่ผ่านมา (2558-2567) ประสิทธิภาพการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลขยายตัวช้ากว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจ หรือ Buoyancy rate มีค่าเฉลี่ยไม่ถึง 1 อยู่ที่ 0.8 จึงจำเป็นต้องมีการปฏิรูปโครงสร้างรายได้ของรัฐบาล
1.1 การขยายฐานภาษี
o รัฐบาลควรผลักดันให้ทุกคนเข้ามาอยู่ในฐานภาษี โดยปัจจุบันมีจำนวนคนที่ยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (ภ.ง.ด.) อยู่ 11 ล้านคน จากตัวเลขกำลังแรงงานของไทยทั้งสิ้นราว 40 ล้านคน ส่งผลให้อีก 29 ล้านคน ยังไม่ได้อยู่ในฐานภาษีของรัฐบาล ซึ่งรัฐบาลต้องมีการปฏิรูปในส่วนของกฎหมายและโครงสร้างสวัสดิการ ดังมีรายละเอียดดังนี้
1) ออกกฎหมายให้ทุกคนมีหน้าที่ยื่นแบบฯ และบังคับใช้กฎหมายให้เข้มงวดขึ้น โดยปัจจุบันตามมาตรา 56 แห่งประมวลรัษฎากรระบุว่า บุคคลธรรมดาที่มีรายได้พึงประเมินถึงเกณฑ์ที่กำหนดต้องยื่นแบบฯ ดังนั้น ผู้ที่มีรายได้พึงประเมินไม่ถึงเกณฑ์ อาทิ คนโสดที่มีรายได้ทั้งปีไม่เกิน 120,000 บาท ไม่มีหน้าที่ต้องยื่นแบบฯ ซึ่งเห็นว่ารัฐบาลอาจต้องพิจารณาให้ทุกคนมีหน้าที่ต้องยื่นแบบฯ เพื่อสร้างฐานข้อมูลรายได้ให้แก่รัฐบาล
นอกจากนี้ ข้อมูลจากคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยรายงานว่า ระหว่างปี 2554-2564 ไทยมีคดีความที่เกี่ยวเนื่องกับฐานการเลี่ยงภาษี เฉลี่ยเพียงราว 7 คดีต่อปี และส่วนใหญ่คดีขาดอายุความก่อนจะถึงบทลงโทษ สะท้อนว่ารัฐบาลต้องมีการตรวจสอบเพิ่มเติมและบังคับใช้กฎหมายที่เข้มงวดขึ้น หรืออาจเพิ่มเงื่อนไขว่าหากไม่ยื่นภาษีฯ จะถูกจำกัดสิทธิการเข้าถึงสวัสดิการบางอย่าง เช่น สวัสดิการค่ารักษาพยาบาล หรือมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลในปัจจุบันและอนาคต
2) จูงใจให้คนเข้ามาอยู่ในฐานภาษีผ่านการให้สวัสดิการของรัฐผ่านเครื่องมือทางการคลังอย่าง Negative Income Tax (NIT) ซึ่งมีหลักการว่าผู้ที่มีรายได้ต่ำกว่าเกณฑ์ที่รัฐบาลกำหนด จะได้รับสวัสดิการ แต่หากรายได้สูงกว่าเกณฑ์จะต้องชำระภาษีตามอัตราปกติ ซึ่งรัฐบาลอาจออกแบบสวัสดิการที่สร้างแรงจูงใจให้ผู้ไม่อยู่ในฐานภาษีของรัฐบาลเข้ามารับประโยชน์ของรัฐบาล โดยเฉพาะผู้ที่ได้รับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐราว 14 ล้านคน อย่างไรก็ดี รัฐบาลต้องมีเงื่อนไขบางประการเพื่อช่วยผลักดันให้กลุ่มดังกล่าวพ้นจากระดับการให้ความช่วยเหลือของรัฐบาล ซึ่งจะกลายไปเป็นฐานรายได้ภาษีใหม่ในอนาคต
การลดความซ้ำซ้อนของสวัสดิการภาครัฐ การใช้เครื่องมือ NIT เพื่อให้สามารถออกแบบสวัสดิการในประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ และช่วยลดความซ้ำซ้อนของโครงการสวัสดิการที่มีในปัจจุบัน โดยเฉพาะโครงการผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐซึ่งใช้งบประมาณปี 2567 ราว 55,000 ล้านบาทต่อปี หรือคิดเป็นราว 1.4% ของงบประมาณรายจ่ายรวม หรือคิดเป็นต่อหัวได้รับความช่วยเหลือเพียง 375 บาทต่อเดือน ในขณะที่โครงการผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐอาจจะมีความซ้ำซ้อนกับโครงการสวัสดิการอื่นๆ ที่มีวัตถุประสงค์ช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยเช่นกัน อาทิ โครงการผู้มีรายได้น้อยให้มีความมั่นคงในที่อยู่อาศัย โครงการบริหารจัดการที่ดินทำกินแก่เกษตรกรรายย่อยและผู้ด้อยโอกาส หรือเบี้ยผู้สูงอายุ และเบี้ยคนพิการที่ให้เป็นการทั่วไป ซึ่งโครงการฯ ดังกล่าวใช้งบประมาณรวมสูงถึง 110,000 ล้านบาทต่อปี หรือคิดเป็นราว 3% ของงบประมาณรายจ่าย ซึ่งสามารถควบรวมโครงการ และปรับขนาดเม็ดเงินให้ความช่วยเหลือให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นได้
o ภาษีความมั่งคั่ง ปัจจุบันประเทศไทยมีการจัดเก็บภาษีจากฐานความมั่งคั่งอยู่แล้วโดยเฉพาะภาษีการรับมรดก ซึ่งในปี 2568 มีสัดส่วนเพียง 0.05% ของรายได้สุทธิของรัฐบาล ในขณะที่ ข้อมูลจาก World Inequality Database แสดงให้เห็นว่า ประชากรกลุ่มบนสุด 10% ของไทยถือครองสินทรัพย์คิดเป็น 64.8% ของสินทรัพย์ทั้งหมดในประเทศ ซึ่งยังมีช่องว่างให้สามารถขยายฐานภาษีฐานความมั่งคั่งเพิ่มเติม โดยมีข้อเสนอแนะ ดังนี้
1) ภาษีมรดก ในปัจจุบันภาษีมรดกของไทยมีการผ่อนปรน โดยจัดเก็บภาษีสำหรับมรดกที่เกิน 100 ล้านบาท ในอัตรา 5% สำหรับทายาทโดยตรง และ 10% สำหรับทายาทอื่นๆ ซึ่งยังจัดว่าอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับหลายประเทศ เช่น ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ที่ใช้อัตราก้าวหน้าสูงสุด 50–55% และเวียดนามที่จัดเก็บในอัตรา 10% สะท้อนว่าไทยยังมีช่องว่างในการเพิ่มรายได้ส่วนนี้ ในปี 2568 มีการจัดเก็บภาษีมรดกได้ประมาณ 1,500 ล้านบาท ซึ่งหากทบทวนเกณฑ์ยกเว้นให้ต่ำลงจาก 100 ล้าน หรือปรับอัตราภาษีให้มีลักษณะเชิงขั้นบันไดมากขึ้น ก็จะสามารถขยายฐานภาษีไปพร้อมกับเพิ่มรายได้ให้รัฐ
2) ภาษีกำไรส่วนทุน (Capital Gains Tax) ในปัจจุบัน ไทยยังคงยกเว้นการจัดเก็บภาษีกำไรจากการขายหุ้นที่ซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ซึ่งแตกต่างจากหลายประเทศ เช่น สหรัฐฯ ออสเตรเลีย และญี่ปุ่น ที่จัดเก็บภาษีกำไรจากการขายหุ้นของบุคคลธรรมดาในรูปแบบอัตราคงที่หรืออัตราก้าวหน้าที่อัตราเฉลี่ย 15-20% ซึ่งเป็นฐานรายได้สำคัญของรัฐบาล นอกจากนี้ Capital Gains Tax โดยทั่วไปยังครอบคลุมฐานภาษีที่กว้างกว่ากำไรจากการขายหุ้น/หลักทรัพย์การเงิน ได้แก่ กำไรจากการขายอสังหาริมทรัพย์ สินทรัพย์ดิจิทัล หรือทรัพย์สินมีมูลค่า เช่น งานศิลปะ ของโบราณ ของสะสม เป็นต้น
โดยหากไทยจัดเก็บภาษีดังกล่าวจะช่วยเพิ่มรายได้ให้รัฐบาล ควบคู่กับลดแรงจูงใจในการเก็งกำไรระยะสั้น และส่งเสริมเสถียรภาพของตลาดทุนในระยะยาว
3) ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง เป็นภาษีท้องถิ่นที่จัดเก็บจากมูลค่าประเมินของที่ดินและสิ่งปลูกสร้างตามการใช้ประโยชน์ โดยมีอัตราภาษีตั้งแต่ 0.01% จนถึงสูงสุด 3% (กรณีที่ดินรกร้างว่างเปล่าที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ตามระยะเวลา) อย่างไรก็ดี โครงสร้างปัจจุบันยังมีข้อจำกัดด้านฐานภาษี โดยเฉพาะการยกเว้นมูลค่า 50 ล้านบาทสำหรับที่อยู่อาศัยจริง ซึ่งทำให้รายได้จากภาษีประเภทนี้อยู่ในระดับต่ำ แม้ในกลุ่มผู้มีฐานะปานกลางถึงสูง สะท้อนว่าภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างยังมีช่องว่างในการจัดเก็บรายได้เพิ่มเติม
แนวทางเพิ่มรายได้ควรมุ่งที่การขยายและปรับปรุงฐานภาษี มากกว่าการปรับขึ้นอัตราภาษี ยกเว้นเรื่องการทำเกษตร ได้แก่ การทบทวนการยกเว้นให้เหมาะสมกับสภาพตลาด การปรับราคาประเมินมูลค่าให้สะท้อนราคาตลาดมากขึ้น การใช้มาตรการเชิงพฤติกรรมกับที่ดินรกร้างเพื่อจูงใจให้เกิดการใช้ประโยชน์ รวมถึงการลดช่องว่างเชิงระบบและการใช้ดุลยพินิจของเจ้าหน้าที่ ซึ่งแนวทางดังกล่าวจะช่วยเพิ่มรายได้อย่างยั่งยืนให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ควบคู่กับการยกระดับประสิทธิภาพการใช้ที่ดินในระบบเศรษฐกิจโดยรวม
1.2 การเพิ่มอัตราภาษี
การปรับขึ้นอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) สู่ระดับ 10% รายได้จากการเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มของรัฐบาลมีสัดส่วนราว 5% ของ nominal GDP ขณะที่การจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มในระยะข้างหน้ามีแนวโน้มชะลอตัวตามทิศทางการเติบโตเศรษฐกิจ ทั้งนี้ การปรับเพิ่มอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม 1.5% ตามแผนฯ ของรัฐบาลในปี 2571 คาดว่าจะช่วยเพิ่มรายได้สุทธิให้รัฐบาลได้ราว 0.7% ของ nominal GDP ขณะที่การเก็บภาษีเพิ่มขึ้นคาดว่าจะส่งผลกระทบต่อการบริโภคให้ลดลง 0.07%
แหล่งที่มา : BTimes
