PPTV36 – ศาลรัฐธรรมนูญไม่รับคำร้อง “บิ๊กโจ๊ก” ปมร้องสอบแต่งตั้งประธาน ป.ป.ช. พร้อมไม่รับคำร้อง “วัฒนา-สามารถ” คดีดัง!
วันที่ 18 ธ.ค.2568 ศาลรัฐธรรมนูญประชุมปรึกษาคดีสำคัญและคดีที่สังคมให้ความสนใจ กรณีพล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล (ผู้ร้อง) ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 213 โดยกล่าวอ้างว่า การดำเนินกระบวนการและมีมติเลือกประธานกรรมการ ป.ป.ช. ของนายสุชาติ ตระกูลเกษมสุข,นายเอกวิทย์ วัชชวัลคุ, นายแมนรัตน์ รัตนสุคนธ์, นายภัทรศักดิ์ วรรรรณแสง, นายประภาส คงเอียด, นายวิทยา อาคมพิทักษ์ และนางสุวณา สุวรรณจูฑะ ไม่เป็นไปตามหลักทั่วไปของการใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ
ส่งผลกระทบต่อสิทธิและเสรีภาพของผู้ร้อง ความมั่นมั่นคงของรัฐ ความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน และการกระทำของนายสุชาติ ซึ่งปฏิบัติหน้าที่ในฐานะประธานกรรมการ ป.ป.ช. และคณะกรรมการ ป.ป.ช.ในการพิจารณาวินิจฉัยเรื่องที่ผู้ร้องถูกกล่าวหา เป็นการกระทำที่ละเมิดต่อสิทธิและเสรีภาพของผู้ร้องขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 3 วรรคสอง มาตรา 4 มาตรา 5 มาตรา 25 มาตรา 26 และมาตรา 32
ผลการพิจารณาศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาโดยการอภิปรายแล้วเห็นว่า ข้อเท็จจริงตามคำร้องและเอกสารประกอบปรากฏว่า ผู้ร้องโต้แย้งการกระทำของผู้ถูกร้องทั้งแปดซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐเกี่ยวกับการดำเนินกระบวนการและมีมติเลือกประธานกรรมการ ป.ป.ช. ตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 14 วรรคสาม และการพิจารณาวินิจฉัยเรื่องที่ผู้ร้องถูกกล่าวหาตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่เกี่ยวข้อง อันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย
หากผู้ร้องเห็นว่าเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือละเมิดสิทธิหรือเสรีภาพ ผู้ร้องอาจใช้สิทธิทางศาลอื่นได้ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 25 วรรคสาม เป็นกรณีที่รัฐธรรมนูญหรือกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญได้กำหนดกระบวนการร้องหรือผู้มีสิทธิขอให้ศาลพิจารณาวินิจฉัยไว้เป็นการเฉพาะแล้วตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 มาตรา 47 (2) ซึ่งมาตรา 46 วรรคสาม บัญญัติให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งไม่รับคำร้องไว้พิจารณา ดังนั้น ผู้ร้องไม่อาจยื่นคำร้องดังกล่าว ตามรัฐธธรรมนูญ มาตรา 213 ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเป็นเอกฉันท์มีคำสั่งไม่รับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัย
นอกจากนั้นศาลรัฐธรรมนูญยังได้พิจารณาคำร้อง กรณีนายวัฒนา เมืองสุข (ผู้ร้อง) ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธธรรมนูญ มาตรา 213 โดยกล่าวอ้างว่า การพิจารณาพิพากษาคดีของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง และศาลฎีกา ที่นำพยานหลักฐานที่ได้มาโดยมิชอบเข้าสู่การพิจารณาคดีของผู้ร้องไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 226 และการพิพากษาลงโทษผู้ร้องไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 148 ซึ่งเป็นบทบัญญัติที่ใช้บังคับขณะที่ผู้ร้องกระทำความผิด ขัดหรือแย้งต่อรัฐธธรรมนูญ มาตรา 3 วรรคสอง มาตรา 5 วรรรคหนึ่ง มาตรา 29 วรรคหนึ่ง มาตรา 188 และมาตรา 194 วรรคสอง โดยศาลเห็นว่าผู้ร้องไม่อาจยื่นคำร้องดังกล่าวตามรัฐธธรรมนูญ มาตรา 213 ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเป็นเอกฉันท์มีคำสั่งไม่รับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัย
เช่นเดียวกับกรณี นายสามารถ เจนชัยจิตรวนิช (ผู้ร้อง) ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 213 โดยกล่าวอ้างว่า การกระทำของศาลอาญา ที่มีคำสั่งไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวผู้ร้อง โดยให้เหตุผลเพียงว่าคดีมีอัตราโทษสูงและเกรงว่าผู้ร้องจะหลบหนี และไม่แสดงข้อเท็จจริงเพิ่มเติมหรือข้อมูลเฉพาะเจาะจงหรือพฤติการณ์ที่ชัดเจน แสดงถึงถึงความไม่เสมอภาคในการพิจารณา เป็นการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรม ไม่ได้สัดส่วน กระทบกระเทือนต่อสิทธิเสรีภาพของบุคคลในกระบวนพิจารณาอันไม่เป็นธรรม ละเมิดสิทธิในชีวิต ร่างกาย ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ กระทบต่อสิทธิในการสันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 25 มาตรา 27 มาตรา 28 มาตรา 29 และมาตรา 55 โดยศาลเห็นว่าผู้ร้องไม่อาจยื่นคำร้องดังกล่าวตามรัฐธธรรมนูญ มาตรา 213 ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเป็นเอกฉันท์มีคำสั่งไม่รับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัย
