ข่าวประจำวัน » ไทยสุดทนเขมร !! ก่อเหตุยั่วยุ รุกราน สร้างภาพ ปกป้องแก๊งสแกมเมอร์

ไทยสุดทนเขมร !! ก่อเหตุยั่วยุ รุกราน สร้างภาพ ปกป้องแก๊งสแกมเมอร์

10 December 2025
82   0

อีจัน – กลาโหม เผย ไทยหมดความอดทน ที่กัมพูชา ยั่วยุ-รุกราน-สร้างภาพ   

โฆษกกลาโหม นำทีม 4 เหล่าทัพ อัปเดตสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ชี้ 5 เหตุผลสำคัญที่ไทยจำเป็นต้องตอบโต้ เพราะหมดความอดทน ต่อการ ยั่วยุ-รุกราน-สร้างภาพ ของกัมพูชา 

คืบหน้าสถานการณ์การปะทะเดือดในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา หลังกัมพูชาเปิดฉากยิงตั้งแต่วันที่ 7 ธ.ค. 68   

ล่าสุดวันนี้ (9 ธ.ค.68) เวลา 16.00 น. ศูนย์แถลงข่าวร่วมสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา นำโดย พลเรือตรีสุรสันต์ คงศิริ โฆษกกลาโหม แถลงอัปเดตสถานการณ์ดังกล่าว ว่า เหตุผลสำคัญที่ไทยจำเป็นต้องตอบโต้การกระทำที่รุกรานและยั่วยุของฝ่ายกัมพูชาในห้วงเวลาที่ผ่านมาตั้งแต่วันที่ 7 ธันวาคม 68 มีทั้งหมด 5 ประเด็น ดังนี้  

1. สถานการณ์ในครั้งนี้ แสดงให้เห็นถึงการกระทำแบบเดิมๆ อีกครั้งหนึ่ง ของฝ่ายกัมพูชาที่รุกรานไทยและปฏิเสธการกระทำดังกล่าว ซึ่งรวมถึงการยั่วยุในรูปแบบต่างๆ รวมถึงการวางระเบิดของฝ่ายกัมพูช าแม้กระทั่งการสร้างภาพเรียกร้องสันติภาพและการใช้ความยับยั้งชั่งใจ แต่ก็เป็นฝ่ายที่ยั่วยุปกปั่นและรุกรานก่อนตลอดเวลา 

2. ฝ่ายไทยมุ่งปกป้องอธิปไตยและบูรณภาพดินแดนของไทย จึงต้องจำเป็นดำเนินการทางทหารให้ถึงที่สุด เพื่อปกป้องอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของไทย 

3. สาธารณชนไทยหมดความอดทนอดกลั้นแล้ว ต่อการดำเนินการของกัมพูชา ที่ไม่ได้คำนึงถึงศักดิ์ศรีและเกียรติภูมิของประเทศไทยในฐานะเพื่อนบ้านที่ดีต่อกัน รวมถึงคนไทยต้องเผชิญภัยต่อความปลอดภัยมาแล้วครั้งแล้วครั้งเล่า 

รัฐบาลไทยจึงต้องให้ความสำคัญสูงสุดต่อการปกป้องอธิปไตย และประชาชนของเรา จนกว่าเราจะไม่ถูกคุกคาม 

4. ท่าทีของไทยรวมถึงการปฏิบัติการทางทหาร จะดำเนินการไปจนกว่ากัมพูชาจะเปลี่ยนแปลงจุดยืน เช่น การกลับมาเลือกเดินบนเส้นทางสู่สันติภาพที่แท้จริง 

5. กัมพูชาเป็นฝ่ายละเมิดข้อตกลงหยุดยิงทุกๆ ข้อ รวมถึงถ้อยแถลงร่วมที่ได้มีการลงนามระหว่างรัฐมนตรีของสองประเทศ เมื่อวันที่ 23 ตุลาคมที่ผ่านมา จากการละเมิดดังกล่าวนำไปสู่การยุติหรือการระงับข้อตกลงต่างๆ ที่ฝ่ายไทยได้ยุติในเรื่องของการเคลื่อนย้ายยุทโธปกรณ์ขนาดใหญ่ที่มีอนุภาคทำลายล้างสูง รวมถึงความร่วมมือเรื่องการปฏิบัติการทางทหารต่างๆ เพราะไทยกัมพูชายังแสดงความเป็นปฏิบัติต่อฝ่ายไทยอย่างต่อเนื่อง 

และในวันนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อต่างประเทศรายใหญ่หลายสำนักเพื่อชี้แจงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการพัฒนาการล่าสุดและแก้ไขความเข้าใจคลาดเคลื่อนต่างๆ ที่อาจจะเกิดขึ้น เพื่อให้สื่อต่างประเทศได้รับข้อมูลที่ถูกต้องและทันเวลาเพื่อนำไปรายงานข่าวที่ถูกต้อง 

นอกจากนั้น กระทรวงการต่างประเทศก็ได้มีหนังสือประท้วงไปยังกัมพูชา เพื่อชี้แจงสถานการณ์ให้ประชาชนอาเซียนได้รับทราบ รวมถึงหนังสือถึงเลขานิการสหประชาชาติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ และทั้งยังได้มอบหมายให้สถานะข้าราชการทูตและสถานกงสุลใหญ่ไทยทั่วโลกดำเนินการช่วงเชิงรุกในการชี้แจงข้อเท็จจริงและทำความเข้าใจต่อจุดอยู่และท่าทีของไทยเกี่ยวกับสถานการณ์การปะทะกันระหว่างไทยกัมพูชา โดยการชี้แจงนั้นมุ่งหมายไปยังหน่วยงานภาครัฐสื่อมวลชนและภาคอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องให้ได้รับข้อมูลที่ถูกต้องครบถ้วนและทันต่อเหตุการณ์ด้วย 

ด้านการปฏิบัติการทางทหาร ไทยยืนยันว่าดำเนินการตาม กฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ โดยโจมตีเฉพาะเป้าหมายทางทหาร คุ้มครองพลเรือน จำกัดความรุนแรง และยึดหลักความได้สัดส่วน 

อีกประเด็น คือ หลายคนตั้งคำถามมาว่าการปฏิบัติการทางทหารนั้นที่ผ่านมา เราใช้การปฏิบัติการในลักษณะ “โจมตีก่อนเพื่อป้องกัน” หรือไม่?  

โฆษกกลาโหมแจงว่า การปฏิบัติเป็นไปตาม สิทธิในการป้องกันตนเอง ซึ่งต้องมีองค์ประกอบครบ 3 เงื่อนไข คือ 

  • ภัยคุกคามชัดเจนและใกล้เกิดขึ้นทันที 
  • ไม่มีทางเลือกอื่น เช่น การเจรจาหรือถอย 
  • การตอบโต้ต้องเท่าที่จำเป็น และพุ่งเป้าเฉพาะเป้าหมายทางทหาร เช่น กองกำลัง ศูนย์บัญชาการ หรือระบบอาวุธ 

โฆษกกลาโหม ย้ำว่า ไทยปฏิบัติครบทุกเงื่อนไข ถือเป็นการตอบโต้ที่มีความชอบธรรม เพื่อปกป้องกำลังพลและความมั่นคงของประเทศ 

กองทัพบก 

พลตรี วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก ชี้แจงว่า ตลอดวันนี้ (9 ธ.ค.68) ฝั่งกัมพูชาได้เปิดฉากโจมตีอย่างหนักในหลายแนวชายแดน ด้วยการยิงจรวดหลายลำกล้อง BM-21 และใช้โดรนทิ้งระเบิดใส่ฐานที่มั่นของฝ่ายไทยหลายพื้นที่ อาทิ ช่องบก ช่องอานม้า ภูมะเขือ และประสาทตามั่นคง ซึ่งเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์สำคัญที่กัมพูชาพยายามยึดคืนอย่างต่อเนื่อง 

ฝ่ายไทยจึงตอบโต้ด้วยอาวุธเล็งตรงและอาวุธวิถีโค้ง ทำให้สามารถยับยั้งการรุกของกัมพูชาได้ระดับหนึ่ง แม้จะเผชิญแรงกดดันจากอาวุธหนักอีกฝ่ายก็ตาม โดยกองกำลังสุรนารียังคงตรึงพื้นที่สำคัญ 4–5 จุดตามแผนการป้องกัน และยังคงปฏิบัติการต่อเนื่องเพื่อควบคุมสถานการณ์ 

ในพื้นที่กองทัพภาคที่ 1 (บ้านหนองหญ้าแก้ว) ซึ่งอยู่ระหว่างการเคลียร์พื้นที่วันที่สอง พบว่ากัมพูชาวางทุ่นระเบิดสังหารบุคคลชนิด PMM-2 จำนวน 2 ลูก พร้อมระเบิดแสวงเครื่องอีก 2 ชุด ประกอบด้วยหัวรบ RPG และกระสุน ค.60 รวมถึงวัตถุระเบิดประเภทอื่น ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้เก็บกู้เรียบร้อยแล้ว 

ด้านพื้นที่บ้านคลองแหง จ.สระแก้ว หน่วยเฉพาะกิจที่ 11 ใช้ปืนใหญ่รถถังยิงทำลายอาคารคาสิโนฝั่งกัมพูชา ซึ่งถูกใช้เป็นที่ตั้งอาวุธยิงสนับสนุน ป้อมปืนกล และคลังอาวุธที่ใช้โจมตีไทยบริเวณจุดผ่อนปรนการค้าบ้านตาพระยา 

กองกำลังไทยยังพบว่ากัมพูชาพยายามสกัดกั้นด้วยการวางระเบิด PM-21 และใช้ปืนใหญ่โจมตีใส่แนวปฏิบัติการอย่างต่อเนื่อง 

ผลกระทบต่อประชาชน 

พบร่องรอยจรวด BM-21 ตกใส่บ้านเรือนในพื้นที่สงครามป้อม อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ สร้างความเสียหายแก่บ้าน 1 หลัง แต่ไม่มีผู้บาดเจ็บ นอกจากนี้ยังพบกระสุนปืนใหญ่จากกัมพูชาตกลงในพื้นที่บ้านโคกทหาร อ.ตาพระยา จ.สระแก้ว ทำให้บ้านเรือนได้รับความเสียหายเช่นกัน 

กองทัพบก ย้ำ ไทยไม่ได้เป็นฝ่ายเริ่มความรุนแรง และการตอบโต้ทั้งหมดอยู่ภายใต้กฎการใช้กำลัง สิทธิในการป้องกันตนเอง และหลักมนุษยธรรม พร้อมยืนยันว่าจะปฏิบัติเต็มความสามารถเพื่อปกป้องอธิปไตย บูรณภาพแห่งดินแดน และความปลอดภัยของประชาชน จนกว่าสถานการณ์ชายแดนจะกลับสู่ความสงบ 

กองทัพเรือ 

หลังเปิดปฏิบัติการทางทหารตั้งแต่ช่วงเช้ามืดที่ผ่านมา ในฐานที่มั่นของชาวกัมพูชาบริเวณ “บ้านสามหลัง” ที่เคยถูกทำลายไปแล้วกลับเข้ามาตั้งฐานใหม่ จากการประเมินเบื้องต้น ฝ่ายตรงข้ามได้รับความเสียหายกว่า 80% อาคารหลักในพื้นที่รวมถึงบังเกอร์ที่ใช้เก็บยุทโธปกรณ์ถูกทำลายเกือบทั้งหมด อย่างไรก็ตามการเข้ายึดพื้นที่ยังไม่สามารถทำได้ เนื่องจากกัมพูชาตอบโต้ด้วยอาวุธปืนใหญ่ ทำให้ต้องดำเนินกลยุทธ์อย่างระมัดระวังต่อไป 

นอกจากนี้จากการลาดตระเวนทางอากาศ พบว่าอาคารคาสิโนในพื้นที่ใกล้เคียงมีการตั้ง อุปกรณ์กวนสัญญาณ ซึ่งกระทบต่อการปฏิบัติการของไทย ส่งผลให้กองทัพเรือตัดสินใจใช้โดรนเข้าโจมตีในช่วงเช้า ทำลายระบบดังกล่าวได้สำเร็จ โดยจำกัดความเสียหายต่อโครงสร้างอาคาร เนื่องจากยังมีพลเรือนอยู่อาศัยภายใน ต่อมา ในช่วงบ่ายตรวจพบว่ากัมพูชานำปืนใหญ่มาประจำการบนอาคารคาสิโนเดียวกัน ทำให้ฝ่ายไทยต้องตอบโต้เป้าหมายดังกล่าวอีกครั้ง ขณะนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบความเสียหายเพิ่มเติม 

กองทัพเรือ ยืนยันว่า กำลังพลปลอดภัยไม่มีผู้สูญเสีย พร้อมย้ำว่าทุกการปฏิบัติเป็นไปตามกฎหมายระหว่างประเทศและหลักมนุษยธรรม โดยมุ่งจำกัดผลกระทบต่อพลเรือนให้มากที่สุด 

กองทัพอากาศ 

ให้ความสำคัญกับการโจมตี “เป้าหมายยุทธศาสตร์สำคัญ” ร่วมกับกองทัพบก ทั้งพื้นที่บัญชาการทหาร ระบบส่งกำลังบำรุง คลังอาวุธ และยุทโธปกรณ์ที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติหน้าที่ของกองกำลังสุรนารี พร้อมคำนึงถึงความปลอดภัยของประชาชนในพื้นที่เป็นอันดับแรก 

กองทัพอากาศ ย้ำว่า การเลือกใช้อาวุธทุกครั้งมีเงื่อนไขชัดเจน คือ ต้องไม่สร้างผลกระทบต่อพลเรือนทั้งฝ่ายไทยและกัมพูชา ทำให้จำเป็นต้องใช้อาวุธที่มีความแม่นยำสูง เพื่อจำกัดวงความเสียหายและลดความเสี่ยงต่อผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องในการสู้รบ 

สำหรับเป้าหมายที่อยู่ลึกเข้าไปในพื้นที่กัมพูชา ถือเป็นภารกิจโดยตรงของกองทัพอากาศ ซึ่งในช่วง 2 วันที่ผ่านมาได้ดำเนินการโจมตีต่อเนื่อง แม้ไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดเป้าหมายได้ แต่ยืนยันว่าปฏิบัติการประสบความสำเร็จ สามารถลดขีดความสามารถของฝ่ายตรงข้ามและสนับสนุนการทำงานของกองกำลังภาคพื้นดินได้อย่างมีประสิทธิภาพ 

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ 

ยืนยันว่าตำรวจมีความพร้อมสนับสนุนการปฏิบัติการร่วมกับกองทัพและฝ่ายปกครอง เพื่อพิทักษ์ชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนอย่างเต็มกำลัง 

สำหรับความคืบหน้าการบาดเจ็บของเจ้าหน้าที่ พบว่า ตำรวจตระเวนชายแดน (ตชด.) ได้รับบาดเจ็บแล้ว 6 นาย ระหว่างปฏิบัติหน้าที่แนวหน้าร่วมกับฝ่ายทหาร ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติได้สั่งการให้ดูแลสิทธิ สวัสดิการ และการรักษาพยาบาลของเจ้าหน้าที่อย่างใกล้ชิด พร้อมย้ำให้ทุกหน่วยในพื้นที่เสี่ยง ได้แก่ บุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ อุบลราชธานี จันทบุรี ตราด และสระแก้ว จัดเตรียมกำลังพร้อมสนับสนุนกองทัพเมื่อมีการร้องขอ 

ขอให้ประชาชนตระหนักแต่ไม่ตื่นตระหนกกับสถานการณ์ชายแดน พร้อมขอความร่วมมือหน่วยงานรัฐและเอกชนยกระดับมาตรการรักษาความปลอดภัย โดยเฉพาะจุดที่มีประชาชนพลุกพล่าน ให้ระวังบุคคลและวัตถุต้องสงสัยเพื่อป้องกันการก่อวินาศกรรมหรือเหตุร้ายแทรกซ้อน 

หากพบเหตุผิดปกติสามารถแจ้งสายด่วน 191 หรือ 1599 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง