วันที่ 20 ต.ค.2568 ศาลอาญา นัดฟังคำพิพากษา ชั้นไต่สวนมูลฟ้อง คดีที่นางกุสุมาลวตี ศิริโกมุท อดีตผู้สมัคร สว. เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายอนุทิน ชาญวีรกุล นายกรัฐมนตรี ขณะดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นจำเลยในความผิดฐาน “หมิ่นประมาท”
โดยคดีนี้โจทก์ฟ้องใจความว่า เมื่อวันที่ 20 พ.ค. 2568 หลังจากที่โจทก์ยื่นเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการได้มาซึ่งวุฒิสมาชิกโดยมิชอบ ต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต. เพื่อให้พิจารณายื่นศาลรัฐธรรมนูญยุบพรรคภูมิใจไทย
และโจทก์ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนถึงความตั้งใจในการยื่นเรื่องดังกล่าวต่อ กกต. แล้วจำเลยให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน ใส่ความหมิ่นประมาทโจทก์ ทำให้โจทก์เสื่อมเสียชื่อเสียงถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง
โดยศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานโจทก์ที่นำเข้าไต่สวนมูลฟ้อง ประกอบคำแถลงของจำเลยแล้วเห็นว่า โจทก์ยื่นเรื่องร้องเรียนต่อ กกต. เพื่อให้พิจารณายื่นเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญ ยุบพรรคภูมิใจไทย และให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนเกี่ยวกับกรณีที่โจทก์เห็นว่า การกระทำของพรรคภูมิใจไทย และหัวหน้าพรรค รวมถึงกรรมการบริหารพรรค และเลขาธิการพรรคภูมิใจไทย กระทำการอันขัดต่อกฎหมายว่าด้วยการได้มาซึ่งวุฒิสมาชิก
โดยโจทก์ให้สัมภาษณ์ก่อนเกิดเหตุหลายครั้ง และวันเกิดเหตุด้วย ซึ่งข้อเท็จจริงตามคำสัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนของโจทก์ยังไม่ได้ผ่านการพิจารณาจาก กกต.ผู้มีอำนาจหน้าที่โดยตรงในการพิจารณา ว่ามีพยานหลักฐานอันควรยื่นยุบพรรคภูมิใจไทยหรือไม่ และเป็นการกล่าวถึงจำเลยโดยตรง จำเลยจึงเป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ทำให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนของจำเลย ที่กล่าวถึงลักษณะพฤติกรรมของโจทก์ จึงเป็นคำที่จำเลยโต้ตอบโจทย์ เพื่อให้ผู้ที่รู้เห็นเข้าใจว่าโจทก์เป็นบุคคลที่ไม่น่าเชื่อถือ เป็นการแสดงข้อความโดยสุจริต เพื่อความชอบธรรมแก้ข่าวที่โจทก์ให้สัมภาษณ์อันเป็นการป้องกันตน หรือป้องกันส่วนได้เสียเกี่ยวกับตนตามคลองธรรม ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 329 (1) คำฟ้องโจทก์ไม่มีมูลว่าจำเลยกระทำผิดตามฟ้อง จึงพิพากษายกฟ้อง
ภายหลังศาลมีคำพิพากษายกฟ้องในชั้นไต่สวนมูลฟ้อง นางกุสุมาลวตี กล่าวว่า เป็นดุลยพินิจของศาล แต่ส่วนตัวยังติดใจในความหมายของคำพูดว่า “กักขฬะ” ที่ตีความแล้ว ความหมายไม่ตรงกับที่ตนเองคิด เพราะทนายจำเลยสืบพยานอ้างว่าคำว่า “กักขฬะ” คือพื้นดินที่ขรุขระ ส่วนตัวมองว่า เป็นถ้อยคำที่ดูหมิ่น มีความเถื่อน