“หมอสมศักดิ์” จี้สปสช.ยอมรับบริหารไม่ดีพอ! เสนอแก้กฎหมายให้สามารถ “ร่วมจ่าย” และแจ้งประชาชน 7 ข้อสำคัญ
วันที่ 13 ต.ค. 2568 นพ.สมศักดิ์ เทียมเก่า อายุรแพทย์ระบบประสาท โพสต์เฟซบุ๊กถึง “สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ(สปสช.)” โดยระบุว่า
สิ่งที่ สปสช. ควรรีบทำ คือ ยอมรับว่าบริหารไม่ดีพอ ประเทศไทยไม่ได้ร่ำรวยเป็นมหาเศรษฐีที่ทุกอย่างจะฟรีได้ และต้องให้ประชาชนร่วมจ่าย ถ้ากฏหมายห้ามก็ต้องไปแก้กฏหมาย
ดังนั้น สปสช. ต้องรีบบอกประชาชน 7 ข้อ ดังนี้
1.การสื่อสารที่ชัดเจนและตรงไปตรงมาของ สปสช. เป็นหัวใจสำคัญที่จะทำให้ประชาชนเข้าใจ “สิทธิ” และ “หน้าที่” ของตนเอง และลดความขัดแย้งกับสถานพยาบาล สปสช. ควรชี้แจงความจริงให้ประชาชนทราบอย่างสม่ำเสมอ เพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับสิทธิบัตรทอง อย่าพูดเกินความจริง เช่น 30 บาทรักษาทุกโรค และฟรีไม่มีการร่วมจ่าย
สปสช. ควรชี้แจงให้ประชาชนทราบว่าฟรีตามความจำเป็น และความเหมาะสมทางการแพทย์ที่มีการกำหนดไว้ในบัญชีการรักษา ไม่ใช่ฟรีทุกอย่างที่แพทย์ให้การรักษา และไม่ใช่ฟรีตามใจต้องการของผู้ป่วย การรักษาบางอย่างที่จำเป็นและอยู่นอกเหนือรายการที่ สปสช.กำหนด ถ้าผู้ป่วยจำเป็นต้องได้รับการรักษา และแพทย์ได้อธิบายให้ผู้ป่วยและญาติทราบแล้วว่าต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม ส่วนนี้ผู้ป่วยและครอบครัวก็ต้องยอมรับ และพิจารณาว่าพร้อมร่วมจ่ายหรือไม่ ซึ่งแนวทางนี้ทั้งผู้ป่วยสิทธิข้าราชการและประกันสังคมก็ยังกำหนดแนวปฏิบัติแบบนี้ แต่ถ้า สปสช. มีแนวคิดว่าการร่วมจ่ายในขณะเข้ารับการรักษานั้นไม่ดี ก็ควรปรับเป็นการร่วมจ่ายก่อนเข้ารับการรักษาพยาบาล อย่าบอกว่ากฏหมายในหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าระบุไว้ว่าไม่ให้มีการร่วมจ่าย กฏหมายถ้าไม่เหมาะสมในช่วงเวลานี้ก็สามารถแก้ไขได้ตามกลไกของการแก้ไขกฏหมาย ดังจะเห็นได้จากผู้ป่วยสิทธิข้าราชการ ทางกรมบัญชีกลางยังมีนโยบายให้ใช้ยาชื่อสามัญแทนยาต้นแบบเลย และยารักษาโรคมะเร็งบางรายการ ผู้ใช้ก็ต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายเอง ไม่สามารถเบิกค่ารักษาพยาบาลได้ ทุกอย่างต้องปรับแก้ให้เข้ากับสถานการณ์
2.ความจริงเกี่ยวกับการเลือกโรงพยาบาล ต้องไปตามขั้นตอน ไม่ใช่ walk-in ไปที่ไหนก็ได้ตามโครงการบัตรประชาชนใบเดียว ระบบเดิมที่ออกแบบไว้ของบัตรทองก็ดีแล้วที่มี gate keeper เป็น รพ.สต. หรือ รพ.ชุมชนใกล้บ้านตามภูมิลำเนา ถ้าฉุกเฉินจริงๆ ตามเกณฑ์ทางการแพทย์ก็สามารถใช้สิทธิการรักษา UCEP ได้
ดังนั้นระบบเดิมก็ดีอยู่แล้ว แต่ สปสช.เพิ่มสิทธิประโยชน์และประชาสัมพันธิ์ให้ผู้ป่วยทราบว่า คนไทยมีเพียงบัตรประชาชนใบเดียวก็สามารถเข้ารับการรักษาที่สถานพยาบาลของรัฐหรือที่เข้าร่วมโครงการที่ไหนก็ได้ ทำให้ระบบที่ดีพังหมด การเข้าถึงการรักษาของผู้ป่วยนั้นมีความจำเป็นเมื่อเจ็บป่วย แต่ก็ต้องมีระบบ ไม่ใช่มีความอิสระตามใจใครอยากไปที่ไหนก็ได้ ทำให้เกิดความแออัดในบางโรงพยาบาล
เหมือนโครงการ cancer anywhere มะเร็งรักษาได้ทุกที่ ฟังดูก็น่าจะดี แต่ความเป็นจริงผู้ป่วยไปแออัดรอคิวที่ รพ.มหาวิทยาลัย คิวยาวนานมากกว่า 5 เดือน จนมะเร็งลุกลามก็ยังไม่ได้ตรวจ จึงต้องมีการออกแบบระบบใหม่ ซึ่งก็เป็นประโยชน์กับผู้ป่วยทำให้ผู้ป่วยมะเร็งได้รับการรักษาที่เหมาะสมอย่างรวดเร็ว ส่งผลดีกว่ามะเร็งรักษาได้ทุกที
3.ความจริงเกี่ยวกับ ข้อจำกัดของระบบ งบประมาณมีจำกัด และบุคลากรมีไม่พอ ขาดแคลนบุคลากรทางการแพทย์ทุกตำแหน่ง งบประมาณก็มีจำกัด สปสช. ได้งบประมาณเป็นแบบปลายปิดมีเพดานในการใช้เงินในแต่ละหมวดชัดเจน แต่ในความเป็นจริงจำนวนครั้งของผู้ป่วยที่เข้ารับบริการมีมากกว่าที่ประมาณการไว้ อาการของผู้ป่วยหนักกว่าที่ผ่านมา ความต้องการของผู้ป่วยและญาติมีมากขึ้น ค่ายา ค่าเวชภัณฑ์ทางการแพทย์ที่ใช้รักษามีค่าใช้จ่ายมากขึ้น แนวทางการรักษาที่พัฒนาตลอดเวลา ทำให้แพทย์ต้องยึดถือและปฏิบัติตามแนวทางเวชปฏิบัติ หรือ clinical practice guideline ต่างๆ
สิ่งเหล่านี้ก็ทำให้มีค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นมาก ค่าต้นทุนการรักษาสูงขึ้นในโรงพยาบาลทุกระดับ ทาง สปสช. ก็มีงบประมาณจำกัด จึงไม่สามารถจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้สถานพยาบาลได้เพียงพอ ก็มีการปรับกฏเกณฑ์การจ่าย เช่น การจ่ายเป็น point system การจ่ายตาม fee schedule การตรวจประเมินเวชระเบียนถ้าทำไม่ถูกต้อง บันทึกไม่ครบหัวข้อที่กำหนดไว้ เอกสารไม่ครบ หรือหาไม่เจอ ก็ไม่จ่าย หรือลดค่ารักษาพยาบาลที่ต้องจ่ายลง ตลอดจนการปรับกฏเกณฑ์การเบิกจ่ายต่างๆ เพิ่มความเข้มงวดในการส่งเอกสารเบิกจ่าย มีขั้นตอนมากขึ้น ก็ส่งผลให้สถานพยาบาลได้รับค่าตอบแทนลดลง และล่าช้าออกไป ก็ยิ่งทำให้สถานพยาบาลขาดงบประมาณในการพัฒนาระบบบริการ การจ้างบุคลากรเพิ่ม ทำให้ผู้รับบริการยิ่งได้ไม่ได้รับความสะดวกมากขึ้น
สปสช. ต้องยอมรับว่าถ้ามีเงินเพียง 100 บาท ก็ต้องซื้อของที่มูลค่าเหมาะสมกับเงิน 100 บาท ไม่ใช่มีเงิน 100 บาท แต่ไปกดราคา หรือหาวิธีการต่างๆ นานามาใช้ เพื่อให้ สปสช. สามารถได้ของที่มีมูลค่า 200 บาทมาแล้วก็จ่ายเงินให้ผู้ขาย คือ สถานพยาบาลเพียง 100 บาท หรือถ้าเปรียบเสมือน สปสช. คือ พ่อแม่ก็ต้องบอกกับลูกๆ (ผู้ป่วยบัตรทอง) ว่าตอนนี้ครอบครัวเรามีเงินที่สามารถใช้ได้เพียงเท่านี้ อะไรที่เคยได้ก็อาจไม่ได้ ไม่ใช่ไม่มีเงิน แต่ก็ต้องการได้ของใหม่ๆ (สิทธิประโยชน์เพิ่มเติม) ตลอดเวลา ไปเอาของที่ร้าน (สถานพยาบาล) มาใช้ก่อน พอถึงเวลาก็ไม่จ่ายเงินเขา แบบนี้มันก็ไม่ถูก
สปสช.ต้องบอกกับประชาชนที่ใช้สิทธิบัตรทองว่าถึงเวลาแล้วที่ทุกคนจะต้องปรับตัว เช่น หมั่นดูแลสุขภาพให้ดี ไม่หาโรคมาใส่ตัว เช่น โรคจากการดื่มแอลกอฮอล์ โรคจากการเกิดอุบัติเหตุต่างๆ การใช้ยาต้องใช้ให้เกิดประโยชน์เต็มที่ ทานยาให้ครบ อย่าทำยาหาย อย่าเบิกยาไปให้คนอื่น โรคบางโรคที่เคยรักษาฟรี แต่ปัจจุบันแนวทางการรักษาเปลี่ยนไป มียาตัวใหม่ๆ ซึ่งผู้ป่วยที่ต้องการก็ต้องร่วมจ่าย
4. ต้องชี้แจงให้ผู้ป่วยเข้าใจว่าเรื่องสุขภาพเป็นเรื่องของคนไทยทุกคนที่ต้องร่วมมือกัน ตั้งแต่การดูสุขภาพตนเองให้แข็งแรง การหลีกเลี่ยงสิ่งที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพ เรื่องการส่งเสริมสุขภาพต้องทำให้เกิด impact ให้ได้โดยการร่วมมือกับ สสส. การรับผิดชอบค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพร่วมกัน อย่าคิดว่าว่าให้เป็นหน้าที่ของหน่วยงานภาครัฐที่ต้องเป็นผู้รับผิดชอบฝ่ายเดียว ควรถึงเวลาที่ต้องมีการร่วมจ่ายด้านสุขภาพอย่างเป็นระบบก่อนที่ท่านจะเจ็บป่วย
5. ปรับและพัฒนาชุดสิทธิประโยชน์ให้มีความเหมาะสมกับงบประมาณที่มีและเศรษฐานะของประเทศ สิทธิประโยชน์อะไรที่ไม่มีความคุ้มค่า ไม่มีประโยชน์อย่างแท้จริง ไม่มีความจำเป็นก็ยกเลิกได้ ทุกสิ่งอย่างในโลกนี้ต้องมีการปรับให้เหมาะสมกับสถานการปัจจุบัน ผมสังเกตว่า สปสช. มีแต่เพิ่มสิทธิประโยชน์ตลอดเวลา ทำเหมือนกับประเทศไทยเป็นมหาเศรษฐีระดับต้นๆ ของโลก เลิกการจัดรายการทางทีวีเพื่อลดค่าใช้จ่ายด้วย
6. บอกประชาชนให้มีการให้เกียรติต่อบุคลากรทางการแพทย์ เคารพต่อกติกาการให้บริการของสถานพยาบาล และเข้าใจในระบบบริการของโรงพยาบาลรัฐ ที่มีข้อจำกัดด้านความสะดวกสบาย ความรวดเร็ว ปัจจุบันจะเห็นมีญาติผู้ป่วยแสดงออกทางสื่อ social ทุกๆ วัน วันละหลายๆ เรื่อง ต่อว่าการให้บริการของโรงพยาบาลรัฐด้วยถ้อยคำที่ไม่สุภาพ ซึ่งปัญหานี้ก็ทำให้ผู้ให้บริการที่มีภาระงานมากเกินตัวอยู่แล้ว อดนอน มีความเครียดสูง มีภาวะเหนื่อยล้า ใกล้จะ burn out อยู่แล้ว พอมีเรื่องร้องเรียนด้วยถ้อยคำที่ไม่สุภาพ ก็ยิ่งเร่งให้บุคลากรทางการแพทย์ลาออกมากขึ้น ก็ยิ่งเกิดปัญหาขาดแคลนบุคลากรมากขึ้น เกิดการแออัดมากขึ้น
7. สปสช. ควรยอมรับกับสังคมที่ไม่สามารถบริหารได้อย่างดีที่สุดตามที่ประชาชนคาดหวัง เพราะทาง สปสช. เองก็มีข้อจำกัดหลายด้าน โดยเฉพาะงบประมาณ และการตอบสนองนโยบายรัฐบาลแต่ละรัฐบาลที่เข้ามาบริหารประเทศ
สปสช. ควรยอมรับความจริงกับโรงพยาบาลว่าที่ผ่านมานั้นจ่ายเงินค่ารักษาไม่ครบถ้วนจริงๆ แล้วควรหางบประมาณมาเพิ่มเติมให้ได้ครบ และควรชดใช้หนี้เก่าด้วย ควรสรุปในรายงานประจำปีด้วยว่ามีภาระหนี้โรงพยาบาลต่างๆ เท่าไหร่ เพื่อที่รัฐบาลจะได้ต้องหางบประมาณมาเพิ่ม เพราะปัจจุบัน รายงานประจำปีของ สปสช. หรือ annual report นั้นไม่มีการสรุปหนี้ที่ค้าง รพ. ต่างๆ ที่สำคัญต้องปรับระบบการตั้งงบประมาณด้วยวิธีใหม่ เพื่อให้เกิดงบประมาณที่สมดุลย์
สิ่งที่ผมกล่าวมาทั้งหมดนั้นมีวัตถุประสงค์ต้องการทำให้เกิดความยั่งยืนของระบบสุขภาพไทย ระบบบัตรทองเริ่มต้นด้วยวัตถุประสงค์ที่ดี ต้องการให้คนไทยทุกคนสามารถเข้าถึงการรักษาได้ดี มีคุณภาพและไม่ประสบปัญหาทางการเงิน แต่ผ่านมาถึงเวลานี้ ด้วยรูปแบบการบริหารแบบที่ผ่านมานั้น ส่งผลให้เกิดปัญหาดังที่ทุกคนรับรู้ ก็ถึงเวลาที่ สปสช. ต้องมีการปรับตัวใหม่ ผมไม่ได้บอกให้ยุบ สปสช. แต่บอกให้มีการปรับตัวและพัฒนารูปแบบการทำงานเพื่อให้ระบบหลักประกันสุขภาพที่ดียังอยู่ได้ต่อไป
สปสช. เพียงฝ่ายเดียวก็คงไม่สามารถแก้ปัญหานี้ได้ ทุกๆ ฝ่ายที่เกี่ยวข้อง และคนไทยทุกคนคงต้องปรับตัวและช่วยกันพยุงให้ระบบหลักประกันสุขภาพยั่งยืนอยู่ต่อไปได้ ที่สำคัญสุด คือ สปสช. ต้องยอมรับว่าตอนนี้มีปัญหาจริง และพร้อมในการแก้ไข เพราะดูเหมือนว่าตอนนี้ สปสช. ยังทำตัวเหมือนไม่มีปัญหาอะไรเลย ผมเชื่อมั่นว่าประเทศไทยมีคนที่พร้อมจะเข้าไปช่วย สปสช.แก้ไขปัญหาต่างๆ ให้ดีขึ้นได้