อ่านชัด ๆ คำพิพากษาศาลฎีกาฯฉบับเต็ม จำคุก 6 เดือน ‘ภิรพล ลาภาโรจน์กิจ’ อดีต สส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ คดีเสียบบัตรลงคะแนนแทนกัน พิจารณาร่าง พ.ร.บ.ให้อำนาจ ก.คลังกู้เงินเพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานฯ กระทำขัดทุกหลักการนิติธรรม ร้ายแรง ไม่รอลงโทษ
เมื่อวันที่ 2 กันยายน 2568 ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พิพากษาจำคุก 6 เดือน นายภิรพล ลาภาโรจน์กิจ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แบบแบ่งเขตเลือกตั้ง จังหวัดสงขลา สังกัดพรรคประชาธิปัตย์ เรื่อง ความผิดต่อพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต กรณีเสียบบัตรลงคะแนนแทนกันในการพิจารณาและลงมติร่างพระราชบัญญัติให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการพัฒนาโครงสร้าง พื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ พ.ศ. …. ศาลระบุว่า พฤติการณ์แห่งคดีเป็นเรื่องร้ายแรง แม้ไม่ปรากฏว่าจำเลยเคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน หรือมีเหตุอื่นตามคำแถลงประกอบิคำรับสารภาพของจำเลย ก็ยังไม่มีเหตุเพียงพอที่จะรอการกำหนดโทษหรือรอการลงโทษให้แก่จำเลยได้
ที่มาที่ไป พฤติการณ์แห่งคดีเป็นอย่างไร เหตุผลคำวินิจฉัย ไม่รอลงโทษ ?
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) นำคำพิพากษาฉบับเต็มมารายงาน
@เปิดคำพิพากษาละเอียด
คำพิพากษา คดีหมายเลขดำที่ อม 4/2568 คดีหมายเลขแดงที่ อม 37/2568ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอออวันที่ 2 เดือน กันยายน พุทธศักราช 2568 ระหว่าง อัยการสูงสุดโจทก์ ระหว่าง นายภิรพล ลาภาโรจน์กิจ จำเลย
เรื่อง ความผิดต่อพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต
@คำฟ้อง ป.ป.ช.
โจทก์ฟ้องและแก้คำฟ้องว่า จำเลยดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แบบแบ่งเขต เลือกตั้ง จังหวัดสงขลา สังกัดพรรคประชาธิปัตย์ จึงเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง และเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 4 และเป็นเจ้าพนักงานของรัฐตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการ ป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 4 มีอำนาจหน้าที่เป็นผู้แทนปวงชนชาวไทยในการใช้อำนาจนิติบัญญัติในการออกกฎหมายนับแต่การเสนอร่างกฎหมาย การพิจารณาร่างกฎหมาย ไปจนถึงการตรากฎหมายมาบังคับใช้แก่ประชาชน
จำเลยต้องปฏิบัติหน้าที่ให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ กฎหมาย และหลักนิติธรรม มีหน้าที่เป็นผู้แทนปวงชนชาวไทย โดยไม่อยู่ในความผูกมัดแห่งอาณัติ มอบหมาย หรือความครอบงำใด ๆ และต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เพื่อประโยชน์ ส่วนรวมของปวงชนชาวไทย โดยปราศจากการขัดกันแห่งผลประโยชน์ ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2550 มาตรา 122 และมาตรา 123
จำเลยมีอำนาจหน้าที่ต้องประชุมร่วมกันของรัฐสภากับสมาชิกวุฒิสภาในการออกเสียงลงคะแนนในวาระที่ 1 ขั้นรับหลักการการออกเสียงลงคะแนนในวาระที่ 2 พิจารณาเรียงลำดับมาตรา และออกเสียงลงคะแนนในวาระที่ 3 ขั้นการลงมติ ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2550 มาตรา 142, 143, 146 และ 147 กับจำเลยย่อมมีหนึ่งเสียงในการออกเสียงลงคะแนนตามมาตรา 126 วรรคสาม รวมถึงมีหน้าที่อื่นตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ หรือตามที่กำหนดไว้ในข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2551
@เหตุเกิดหลังเที่ยงคืน 20 ก.ย.2556
เมื่อวันที่ 20 กันยายน 2556 เวลากลางคืนหลังเที่ยง ขณะที่สภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 24 ปีที่ 3 ครั้งที่ 11 (สมัยสามัญทั่วไป) เป็นพิเศษ มีการประชุมเพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติให้อำนาจ กระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ พ.ศ…. มาตรา 6, 7, 10, 11, 14, 16, 17, 18, 20, บัญชีท้าย, วาระที่ 3 และข้อสังเกต ต่อเนื่องกันตามลำดับ ตั้งแต่เวลา 18.05 นาฬิกา จนถึงเวลา 23.27 นาฬิกา
แต่ปรากฏว่าจำเลยเดินทางไปอำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ด้วยเครื่องบินของบริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) โดยฝากบัตรประจำตัวอิเล็กทรอนิกส์ของจำเลยให้กับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรรายอื่น หรือยินยอมให้บัตรประจำตัวอิเล็กทรอนิกส์ของจำเลย ไปอยู่ในความครอบครองของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรรายอื่น เพื่อให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรรายอื่น นั้นใช้บัตรประจำตัวอิเล็กทรอนิกส์ของจำเลยกดปุ่มแสดงตน และออกเสียงลงคะแนนแทนจำเลยในการพิจารณาและลงมติร่างพระราชบัญญัติให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการพัฒนาโครงสร้าง พื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ พ.ศ. …. มาตรา 6, 7, 10, 11, 14, 16, 17, 18, และ 20, บัญชีท้าย, วาระที่ 3 และข้อสังเกต ต่อเนื่องกันตามลำดับตั้งแต่เวลา 18.05 นาฬิกา จนถึงเวลา 23.27 นาฬิกา โดยจำเลยไม่อยู่ในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร อันเป็นการขัดต่อหลักการพื้นฐานของการเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่จะต้องปฏิบัติหน้าที่โดยไม่อยู่ในความผูกมัดแห่งอาณัติมอบหมาย หรือความครอบงำใด ๆ และต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เพื่อประโยชน์ส่วนรวมของปวงชนชาวไทยโดยปราศจากการขัดกันแห่งผลประโยชน์ ขัดต่อหลักความซื่อสัตย์สุจริตที่สมาชิกรัฐสภาได้ ปฏิญาณตนไว้ ขัดต่อหลักการปฏิบัติหน้าที่ของรัฐสภาที่ต้องเป็นไปตามหลักนิติธรรมและขัดต่อหลักการออกเสียงลงคะแนนตามบทบัญญัติมาตรา 126 วรรคสาม แห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550
ทำให้การออกเสียงลงคะแนนในการประชุมร่วมกันของรัฐสภาดังกล่าวเป็นการออกเสียงลงคะแนนที่ทุจริตบิดเบือน ขัดต่อกฎหมายและข้อบังคับการประชุมรัฐสภาโดยชัดแจ้ง อันเป็นการกระทำการในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบ และมิอาจถือได้ว่ามติที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภาในกระบวนการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวเป็นไปโดยชอบตามกฎหมาย และข้อบังคับการประชุมของรัฐสภา ต่อมา ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยที่ 3-4/2557 เมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2557 ว่าร่างพระราชบัญญัติให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ พ.ศ. ….ตราขึ้นโดยไม่ถูกต้องตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ มีผลให้ร่างพระราชบัญญัตินี้ตกไปตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 154 วรรคสาม
การกระทำของจำเลยเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ จึงเป็นการปฏิบัติหน้าที่หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่ของสมาชิกรัฐสภา อันเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐโดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ปวงชนชาวไทยโดยส่วนรวม ฝ่ายนิติบัญญัติ สมาชิกรัฐสภาอื่น ประชาชน และผู้มีชื่ออื่น อันเป็นการกระทำโดยทุจริต เหตุเกิดที่อาคารรัฐสภา ถนนอู่ทองใน แขวงจิตรลดา เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร คณะกรรมการป้องกันและปรามปรามการทุจริตแห่งชาติ (คณะกรรมการ ป.ป.ช.) แต่งตั้งองค์คณะในการไต่สวนข้อเท็จจริงและแจ้งข้อกล่าวหาจำเลยแล้ว จำเลยให้การปฏิเสธ ขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 123/1 พระราชบัญญัติ ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 76, 172
จำเลยให้การรับสารภาพ
@เดินทางอำเภอหาดใหญ่ ฝากบัตรลงคะแนนทิ้งไว้
พิเคราะห์คำฟ้อง เอกสารท้ายคำฟ้อง รายงานการไต่สวนของคณะกรรมการ ป.ป.ช. คำให้การรับสารภาพและคำแถลงประกอบคำรับสารภาพของจำเลยแล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 20 กันยายน 2556 เวลากลางคืนหลังเที่ยง ขณะจำเลยดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และมีการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 24 ปีที่ 3 ครั้งที่ 11 (สมัยสามัญทั่วไป) เป็นพิเศษเพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ พ.ศ. …. มาตรา 6, 7, 10, 11, 14, 16, 17, 18, และ 20, บัญชีท้าย, วาระที่ 3 และข้อสังเกต ต่อเนื่องกันตามลำดับ ตั้งแต่เวลา 18.05 นาฬิกา จนถึงเวลา 23.27 นาฬิกา
แต่ปรากฏว่าจำเลยเดินทางไปอำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ด้วยเครื่องบินของบริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) จากท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เวลา 18.05 ไปถึงท่าอากาศยานหาดใหญ่ เวลา 19.35 นาฬิกา โดยจำเลยฝากบัตรประจำตัวอิเล็กทรอนิกส์ของจำเลยให้กับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรรายอื่น หรือยินยอมให้บัตรประจำตัวอิเล็กทรอนิกส์ของจำเลยไปอยู่ในความครอบครองของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรรายอื่น เพื่อให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรรายอื่นนั้นใช้บัตรประจำตัวอิเล็กทรอนิกส์ของจำเลยกดปุ่มแสดงตน และออกเสียงลงคะแนนแทนจำเลยในการพิจารณาและลงมติร่างพระราชบัญญัติ ดังกล่าวโดยจำเลยไม่อยู่ในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร
@ขัดต่อการปฏิบัติหน้าที่ต้องเป็นไปตามหลักนิติธรรม
ปัญหาต้องวินิจฉัยมีว่า จำเลยกระทำความผิด ตามฟ้องหรือไม่
เห็นว่า จำเลยฝากบัตรประจำตัวอิเล็กทรอนิกส์ของจำเลยให้กับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรรายอื่น หรือยินยอมให้บัตรประจำตัวอิเล็กทรอนิกส์ของจำเลยไปอยู่ในความครอบครองของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรรายอื่น เพื่อให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรรายอื่นนั้นใช้บัตรประจำตัวอิเล็กทรอนิกส์ของจำเลยกดปุ่มแสดงตนและออกเสียงลงคะแนนแทนจำเลยในการพิจารณาและลงมติดังกล่าว เมื่อการแสดงตนและการออกเสียงลงคะแนนเป็นสิทธิเฉพาะตัวของผู้ที่เป็นสมาชิกรัฐสภา ผู้ที่จะมีสิทธิออกเสียงลงคะแนนได้คือผู้ที่มาแสดงตนในการประชุมและอยู่ในที่ประชุมในขณะที่มีการออกเสียงลงคะแนนเท่านั้น การกระทำใดที่เป็นเหตุให้มีการออกเสียงลงคะแนนแทนกัน การกระทำนั้นย่อมไม่ชอบด้วยบทบัญญัติและเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ
ขัดต่อหลักการออกเสียงลงคะแนนตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 126 วรรคสาม ที่ให้สมาชิกคนหนึ่งย่อมมีเสียงหนึ่งในการออกเสียงลงคะแนน และไม่ชอบด้วยข้อบังคับการประชุมของรัฐสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2551 ข้อ 72 วรรคสาม ที่กำหนดให้การออกเสียงลงคะแนนจะกระทำการแทนกันมิได้ จึงเป็นการออกเสียงลงคะแนนที่ไม่สุจริต ไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ที่แท้จริงของผู้แทนปวงชนชาวไทย ขัดต่อการปฏิบัติหน้าที่ของสมาชิกรัฐสภาที่ต้องเป็นไปตามหลักนิติธรรมตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 3 วรรคสอง ขัดต่อหลักการพื้นฐานของการเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่จะต้องปฏิบัติหน้าที่โดยไม่อยู่ในความผูกมัดแห่งอาณัติ มอบหมาย หรือความครอบงำใด ๆ และต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เพื่อประโยชน์ส่วนรวมของปวงชนชาวไทย โดยปราศจากการขัดกันแห่งผลประโยชน์ ตามมาตรา 122 ขัดต่อหลักความซื่อสัตย์สุจริตที่สมาชิกรัฐสภาได้ปฏิญาณตนไว้ ตามมาตรา 123 ซึ่งต่อมาศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยที่ 3-4/2557 ว่าร่างพระราชบัญญัติให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ พ.ศ….ตราขึ้นโดยไม่ถูกต้องตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 และมีข้อความขัดแย้งต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 169 วรรคหนึ่ง และมาตรา 170 วรรคสอง ซึ่งข้อความดังกล่าวเป็นสาระสำคัญ มีผลให้ร่างพระราชบัญญัตินี้ เป็นอันตกไปตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 154 วรรคสาม แม้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 ถูกยกเลิกแล้ว แต่มีการตรารัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ใช้บังคับ โดยกำหนดหลักการเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ของฝ่ายนิติบัญญัติไว้เช่นเดียวกัน เช่นนี้
การกระทำของจำเลยจึงเป็นการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในตำแหน่งหรือใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่ของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรโดยมิชอบก่อให้เกิดความเสียหายแก่ปวงชนชาวไทย ฝ่ายนิติบัญญัติ สมาชิกรัฐสภาอื่น ประชาชน และผู้มีชื่ออื่น ซึ่งเป็นความผิดตามกฎหมาย
แม้ภายหลังการกระทำความผิด มีพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 ใช้บังคับโดยมาตรา 3 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวให้ยกเลิกพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 แต่พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 172 ยังคงบัญญัติให้การกระทำตามฟ้องเป็นความผิดและมีระวางโทษเท่าเดิม จึงต้องลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 123/1 ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับในขณะที่จำเลย กระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 2 วรรคหนึ่ง
@ลดโทษเหลือจำคุก 6 เดือน-พฤติการณ์แห่งคดีเป็นเรื่องร้ายแรง ไม่มีเหตุรอลงโทษ
พิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 123/1 จำคุก 1 ปี จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 6 เดือน องค์คณะผู้พิพากษาเสียงข้างมากเห็นว่า ขณะกระทำความผิดจำเลยเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เพื่อประโยชน์ส่วนรวมของปวงชนชาวไทย แต่กลับกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่โดยมิชอบ พฤติการณ์แห่งคดีเป็นเรื่องร้ายแรง แม้ไม่ปรากฏว่าจำเลยเคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน หรือมีเหตุอื่นตามคำแถลงประกอบิคำรับสารภาพของจำเลย ก็ยังไม่มีเหตุเพียงพอที่จะรอการกำหนดโทษหรือรอการลงโทษให้แก่จำเลยได้