ข่าวประจำวัน » รู้ตัวไม่ป่วยจริง !! ฉบับเต็มคำตัดสินสั่งคุกทักษิณชั้น 14 ตามพระบรมราชโองการ 1 ปี

รู้ตัวไม่ป่วยจริง !! ฉบับเต็มคำตัดสินสั่งคุกทักษิณชั้น 14 ตามพระบรมราชโองการ 1 ปี

27 September 2025
83   0

หมายเหตุ สำนักข่าวอิศรา(www.isranews.org) :  สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 9 กันยายน 2568 ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมือง อ่านคําสั่งคดี หมายเลขดําที่ บค1/2568 กรณีศาลมีคําสั่งให้ไต่สวนว่า การบังคับโทษพันตํารวจโทหรือนายทักษิณ ชินวัตร จําเลย เป็นไปตามหมายจําคุกเมื่อคดีถึงที่สุดในคดีหมายเลขแดงที่ อม 4/2551 คดีหมายเลขแดงที่ อม 5/2551 และคดีหมายเลขแดง ที่ อม 10/2552 ของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมือง หรือไม่ โดยคดีนี้ศาลได้คำสั่งให้นายทักษิณกลับไปติดคุก 1 ปี ตามพระบรมราชโองการ เนื่องจากการบังคับโทษไม่ชอบด้วยกฎหมาย

ล่าสุด สำนักข่าวอิศรา นำคำสั่งบังคับคดีนี้ ให้ นายทักษิณ ชินวัตร จําเลย กลับไปรับโทษจำคุก 1 ปี  ตามพระบรมราชโองการ เนื่องจากการบังคับโทษไม่ชอบด้วยกฎหมายมานำเสนอ ณ ที่นี้ 

เรื่อง ความผิดต่อตําแหน่งหน้าที่ราชการ ความผิดต่อพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การ หรือหน่วยงานของรัฐ การขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนบุคคลและประโยชน์ส่วนรวม (ชั้นบังคับคดี)

คดีทั้งสามสํานวน เห็นควรให้เรียกจําเลยในคดีหมายเลขแดงที่ อม 4/2551, อม 5/2551

และจําเลยที่ 1 ในคดีหมายเลขแดงที่ อม 10/2552 ของศาลนี้ ว่า จําเลย

คดีสืบเนื่องมาจาก เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2566 ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมืองออกหมายจําคุกเมื่อคดีถึงที่สุดให้จําคุกจําเลยในคดีหมายเลขแดงที่ อม 4/2551 ของศาลนี้ มีกําหนด 3 ปี ในคดีหมายเลขแดงที่ อม 5/2551 ของศาลนี้ มีกําหนด 5 ปี และในคดีหมายเลขแดงที่ อม 10/2552 ของศาลนี้ มีกําหนด 2 ปี โดยให้นับโทษจําคุกจําเลยในคดีหมายเลขแดงที่ อม 5/2551 ต่อจากโทษจําคุกของจําเลยในคดีหมายเลขแดงที่ อม 4/2551 และโทษจําคุกของจําเลยที่ 4 ในคดีหมายเลขแดงที่ อม 10/2552 ของศาลนี้

@ศาลมีอำนาจพิจารณาคดี แม้ ‘ชาญชัย’ ไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสีย

เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2566 นายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ ยื่นคําร้องขอให้ไต่สวนว่ามีการส่งตัว จําเลยไปรักษาตัวนอกเรือนจําขัดต่อพระราชบัญญัติราชทัณฑ์ พ.ศ. 2560 และกฎกระทรวงการส่งตัวผู้ต้องขัง ไปรักษาตัวนอกเรือนจํา พ.ศ. 2563 เป็นผลให้การบังคับโทษจําคุกจําเลยจึงไม่เป็นไปตามหมายจําคุก 

เมื่อคดีถึงที่สุดของศาล ในวันเดียวกันศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมืองมีคําสั่งว่า ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมืองออกหมายจําคุกเมื่อคดีถึงที่สุดไปแล้ว การบังคับโทษ และการอนุญาตให้ส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจําเป็นอํานาจของกรมราชทัณฑ์ 

ปัญหาว่าเจ้าหน้าที่ของกรมราชทัณฑ์ปฏิบัติหน้าที่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ไม่อยู่ในอํานาจพิจารณาพิพากษาของศาลฎีกา แผนกคดีอาญาของผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมือง จึงไม่จําต้องไต่สวน ให้ยกคําร้อง

เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2567 นายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ ยื่นคําร้องขอให้ไต่สวนว่า กรมราชทัณฑ์ไม่ได้ยื่นคําร้องขอให้ศาลมีคําสั่งเรื่องการทุเลาการบังคับโทษเป็นการมิชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากการใช้อํานาจของกรมราชทัณฑ์ตามพระราชบัญญัติราชทัณฑ์ พ.ศ. 2560 และกฎกระทรวง การส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจํา พ.ศ. 2563 อยู่ภายใต้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 246 

ในวันเดียวกันศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมืองมีคําสั่งว่าพิเคราะห์แล้ว เห็นว่า กรณีไม่ปรากฏว่ามีการทุเลาการบังคับโทษ จึงไม่ต้องตามบทบัญญัติประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา ความอาญา มาตรา 246 และมาตราอื่นที่ผู้ร้องอ้างมา จึงไม่จําต้องไต่สวน ให้ยกคําร้อง

เมื่อวันที่ 10 มกราคม 2568 นายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ ยื่นคําร้องขอให้เพิกถอนคําสั่งศาลเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2566 และเมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2567 และมีคําสั่งเกี่ยวกับการบังคับโทษให้เป็นไปตามคําพิพากษาถึงที่สุด 

เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2568 ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดํารงตําแหน่ง ทางการเมืองมีคําสั่งว่า พิเคราะห์คําร้องและเอกสารท้ายคําร้องแล้ว เห็นว่า ผู้ร้องไม่ใช่คู่ความในคดีหมายเลขแดงที่ อม 4/2551 คดีหมายเลขแดงที่ อม 10/2552 และคดีหมายเลขแดงที่ อม 5/2551 ของศาลนี้ อีกทั้งไม่ใช่ผู้ได้รับความเดือดร้อนหรือเสียหายจากการบังคับโทษจําคุกแก่จําเลยในคดีดังกล่าว

เมื่อผู้ร้องไม่ใช่ ผู้มีส่วนได้เสียในชั้นบังคับตามคําพิพากษาจึงไม่มีสิทธิยื่นคําร้องต่อศาลนี้ แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อความปรากฏต่อศาลว่าอาจมีการบังคับตามคําพิพากษาที่ไม่เป็นไปตามหมายจําคุกเมื่อคดีถึงที่สุดของศาลนี้ 

ศาลย่อมมีอํานาจ ไต่สวนและมีคําสั่งตามที่เห็นสมควร จึงเห็นควรส่งสําเนาคําร้องให้โจทก์และจําเลยในคดีดังกล่าว แล้วให้โจทก์ และจําเลยดังกล่าวแจ้งต่อศาลว่ามีข้อเท็จจริงตามที่กล่าวอ้างในคําร้อง หรือไม่ อย่างไร กับสําเนาคําร้อง ให้ผู้บัญชาการเรือนจําพิเศษกรุงเทพมหานคร อธิบดีกรมราชทัณฑ์ และนายแพทย์ใหญ่โรงพยาบาลตํารวจ เพื่อให้ชี้แจงข้อเท็จจริงประกอบการพิจารณาของศาลว่าการดําเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการบังคับโทษจําคุก แก่จําเลยเป็นไปตามหมายจําคุกเมื่อคดีถึงที่สุดของศาล หรือไม่… 

ส่วนที่ผู้ร้องขอให้เพิกถอนคําสั่งศาลฎีกา แผนกคดีอาญาของผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมืองเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2566 และเมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2567 นั้น

เมื่อผู้ร้องไม่มีสิทธิยื่นคําร้องดังที่วินิจฉัยมาแล้วข้างต้น กรณีจึงไม่จําต้องวินิจฉัยคําขอดังกล่าว

@วินิจฉัยอาการทักษิณ นำไปสู่การส่งตัว รพ.ตำรวจ

โจทก์ จําเลย ผู้บัญชาการเรือนจําพิเศษกรุงเทพมหานคร อธิบดีกรมราชทัณฑ์ และนายแพทย์ใหญ่ โรงพยาบาลตํารวจ ยื่นคําชี้แจงข้อเท็จจริงต่อศาลพร้อมเอกสารประกอบศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมืองตรวจสํานวนประชุมปรึกษาแล้ว  ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2566 ภายหลังจากที่ศาลอ่านคําพิพากษาให้ลงโทษจําคุก จําเลยและออกหมายจําคุกเมื่อคดีถึงที่สุดแล้ว เรือนจําพิเศษกรุงเทพมหานครรับตัวจําเลยไปดําเนินการบังคับโทษ ต่อมาเวลาประมาณ 10 นาฬิกา นายแพทย์วัฒน์ชัย มิ่งบรรเจิดสุข ผู้อํานวยการทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ ในขณะนั้น มอบหมายให้แพทย์หญิงรวมทิพย์ สุภานันท์ แพทย์อายุรกรรมทั่วไปประจําทัณฑสถานโรงพยาบาล ราชทัณฑ์ตรวจร่างกายจําเลยซึ่งเป็นผู้ต้องขังรับใหม่ 

แพทย์หญิงรวมทิพย์ทําบันทึกการตรวจร่างกายและสรุปประวัติการรักษาโรคของจำเลยจากเวชระเบียนของโรงพยาบาลต่างประเทศ ตามเวชระเบียนสถานพยาบาลเรือนจําพิเศษกรุงเทพมหานคร เอกสารหมาย ศ.1 แฟ้มที่ 1 แผ่นที่ 49 และที่ 50 และบันทึกอาการที่ได้

จากการตรวจร่างกายรวมถึงประวัติการรักษาเดิมจากต่างประเทศของจําเลยดังกล่าวลงในแบบสําหรับส่งผู้ป่วย ไปรับการตรวจหรือรักษาต่อ ตามเอกสารหมาย ศ.1 แฟ้มที่ 1 แผ่นที่ 58 ในวันเดียวกันนั้นนายธัญพิสิษฐ์ ขบวน พยาบาลวิชาชีพประจําสถานพยาบาลของเรือนจําพิเศษกรุงเทพมหานคร ปฏิบัติหน้าที่พยาบาลเวรตั้งแต่ เวลา 8.30 นาฬิกา ของวันที่ 22 สิงหาคม 2566 ถึงเวลา 8.30 นาฬิกา ของวันที่ 23 สิงหาคม 2566 ทําบันทึกอาการของจําเลยทุกๆ 4 ชั่วโมงว่า เวลา 14 นาฬิกา จําเลยมีความดันโลหิต 145/94 มิลลิเมตรปรอท หัวใจเต้น 82 ครั้ง/นาที หายใจ 18 ครั้ง/นาที ออกซิเจนปลายนิ้ว 93 เปอร์เซ็นต์ เวลา 18 นาฬิกา จําเลยมีความดันโลหิต 150/96 มิลลิเมตรปรอท หัวใจเต้น 86 ครั้ง/นาที หายใจ 24 ครั้ง/นาที ออกซิเจนปลายนิ้ว 92 เปอร์เซ็นต์ และเวลา 22 นาฬิกา จําเลยมีความดันโลหิต 178/98 มิลลิเมตรปรอท หัวใจเต้น 86 ครั้ง/นาที หายใจ 24 ครั้ง/นาที ออกซิเจนปลายนิ้ว 92 เปอร์เซ็นต์ อุณหภูมิร่างกาย 36.8 องศาเซลเซียส และมีข้อความว่า จําเลยบ่นอ่อนเพลีย ขาขวาอ่อนแรงเล็กน้อย นอนไม่หลับ บ่นแน่นหน้าอก ความดันโลหิตสูง 

นายธัญพิสิษฐ์ แจ้งนายแพทย์นทพร ปิยะสิน แพทย์เวรทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ทราบ นายแพทย์นทพรแนะนําให้ส่งตัวจําเลยไปรักษาที่โรงพยาบาลภายนอกที่มีศักยภาพสูงกว่าทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ และนายธัญพิสิษฐ์โทรศัพท์ปรึกษาแพทย์หญิงรวมทิพย์แล้ว แพทย์หญิงรวมทิพย์แนะนําว่าให้ส่งตัวจําเลยไปรักษาที่โรงพยาบาลภายนอกตามคําแนะนําของแพทย์เวรทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ ตามเวชระเบียนสถานพยาบาลเรือนจําพิเศษกรุงเทพมหานคร เอกสารหมาย ศ.1 แฟ้มที่ 1 แผ่นที่ 70 จากนั้นนายธัญพิสิษฐ์ทําบันทึกข้อความ ถึงพัศดีเวร ขอส่งตัวจําเลยไปรักษายังโรงพยาบาลภายนอก ระบุว่า จําเลยมีอาการแน่นหน้าอก ความดันโลหิตสูง นอนไม่หลับ อ่อนเพลีย เห็นควรส่งตัวไปรักษาที่โรงพยาบาลตํารวจโดยใช้แบบสําหรับส่งผู้ป่วยไปรับการตรวจ หรือรักษาต่อประกอบการส่งตัว มีนายสมศักดิ์ บุดดีคํา นักทัณฑวิทยาชํานาญการ ทําความเห็นว่าเห็นควร ดําเนินการตามที่พยาบาลเวรเสนอ นายสัญญา วงศ์หินกอง พัศดีเวร มีคําสั่งให้ดําเนินการดังเสนอ ตามบันทึก ข้อความ เอกสารหมาย ศ.1 แฟ้มที่ 1 แผ่นที่ 73 และมีหนังสือด่วนที่สุด ที่ ยธ 0768/5695 ถึงนายแพทย์ใหญ่ (สบ 4) โรงพยาบาลตํารวจ ตามเอกสารหมาย ศ.1 แฟ้มที่ 1 แผ่นที่ 74 จากนั้นมีการส่งตัวจําเลยไปถึงโรงพยาบาลตํารวจในวันที่ 23 สิงหาคม 2566 เวลา 00.20 นาฬิกา พันตํารวจเอกนายแพทย์ชนะ จงโชคดี นายแพทย์ สบ 5 แพทย์เวรผู้รับตัวจําเลยและเขียนข้อความการรับตัวจําเลยในหนังสือส่งตัวจําเลยว่า ได้รับตัว ผู้ป่วยไว้แล้ว มาด้วยอาการแน่นหน้าอก หายใจไม่อิ่ม วัดค่าออกซิเจนต่ำลง เพื่อตรวจรักษาต่อ

จําเลยเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลตํารวจที่ห้องพักพิเศษ ชั้นที่ 14 ของอาคารมหาภูมิพลราชานุสรณ์ 88 พรรษา (มมร.) ตั้งแต่วันที่ 23 สิงหาคม 2566 เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2566 มีพระบรมราชโองการพระราชทาน พระมหากรุณาอภัยลดโทษให้จําเลย เหลือโทษจําคุกต่อไปอีก 1 ปี ตามกําหนดโทษตามคําพิพากษา ซึ่งประกาศ ในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 1 กันยายน 2566 

ต่อมาเมื่อวันที่ 15 กันยายน 2566 พลตํารวจโทนายแพทย์ ทวีศิลป์ เวชวิหารณ์ นายแพทย์ สบ 8 ในขณะนั้น ออกใบแสดงความเห็นแพทย์ว่า การรักษายังไม่สิ้นสุด เพราะต้องรักษาแผลที่ผ่าตัด ตรวจและวางแผนผ่าตัดโรคที่รายงานจึงจําเป็นต้องรักษาในโรงพยาบาล ตามเอกสาร หมาย ศ.1 แฟ้มที่ 1 แผ่นที่ 174 หรือเอกสารหมาย ศ.2 แผ่นที่ 8

นายนัสที ทองปลาด ผู้บัญชาการเรือนจํา พิเศษกรุงเทพมหานครในขณะนั้น ทําบันทึกข้อความถึงอธิบดีกรมราชทัณฑ์พร้อมเสนอใบแสดงความเห็นแพทย์ ดังกล่าว ขออนุญาตให้จําเลยรักษาตัวนอกเรือนจําเกินกว่า 30 วัน ตามบันทึกข้อความ ที่ ยธ 0768/6471 ลงวันที่ 18 กันยายน 2566 เอกสารหมาย ศ.1 แฟ้มที่ 1 แผ่นที่ 176 เมื่อวันที่ 20 กันยายน 2566 นายสิทธิ์ สุธีวงศ์ รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ รักษาราชการแทนอธิบดีกรมราชทัณฑ์ในขณะนั้น อนุญาตให้จําเลย รักษาตัวนอกเรือนจําาเกินกว่า 30 วัน ตามบันทึกข้อความ ด่วนที่สุด ที่ ยธ 0705.4/31381 เอกสารหมาย ศ.1 แฟ้มที่ 1 แผ่นที่ 177 เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2566 พลตํารวจโทนายแพทย์ทวีศิลป์ออกใบแสดงความเห็น แพทย์ว่า ต้องรับการผ่าตัดเร่งด่วนเพราะมีอาการปวดรุนแรง มือและแขนขาอ่อนแรง ตามเอกสารหมาย ศ.1 แฟ้มที่ 1 แผ่นที่ 180 หรือเอกสารหมาย ศ.2 แผ่นที่ 9 นายนัสที่ทําบันทึกข้อความด่วนที่สุดถึงอธิบดี กรมราชทัณฑ์พร้อมเสนอใบแสดงความเห็นแพทย์ดังกล่าว ขออนุญาตให้จําเลยรักษาตัวนอกเรือนจําเกินกว่า 60 วัน ตามบันทึกข้อความ ด่วนที่สุด ที่ ยธ 07688/ (ไม่ปรากฏเลขที่) ลงวันที่ 19 ตุลาคม 2566 เอกสารหมาย ศ.1 แฟ้มที่ 1 แผ่นที่ 183 เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2566

นายชาญ วชิรเดช รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ รักษาราชการแทนอธิบดีกรมราชทัณฑ์ในขณะนั้น อนุญาตให้จําเลยรักษาตัวนอกเรือนจําเกินกว่า 60วัน ตามบันทึกข้อความ ด่วนที่สุด ที่ ยธ 0705.4/35326 เอกสารหมาย ศ.1) แฟ้มที่ 1 แผ่นที่ 184 เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2566 พันตํารวจเอกนายแพทย์ชนะออกใบแสดงความเห็นแพทย์ว่า มีข้อบ่งชี้ต้องรักษาสมอง ขาดเลือดและผ่าตัดรักษาภาวะกระดูกคอเสื่อม (Cervical spondylotic myeloradiculopathy) อยู่ระหว่าง ดําเนินการรักษา และวางแผนการผ่าตัดรักษา ตามเอกสารหมาย ศ.1 แฟ้มที่ 1 แผ่นที่ 190 หรือเอกสารหมาย ศ.2 แผ่นที่ 11 และในวันเดียวกันพลตํารวจตรีนายแพทย์สามารถ ม่วงศิริ นายแพทย์ สบ 7 แพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ศัลยกรรมกระดูก โรงพยาบาลตํารวจ ออกใบแสดงความเห็นแพทย์ว่า ปรึกษาประสาทศัลยแพทย์วางแผนผ่าตัด รักษากระดูกคอเสื่อมกดทับไขสันหลังและเส้นประสาท ตามเอกสารหมาย ศ.1 แฟ้มที่ 1 แผ่นที่ 191 หรือ เอกสารหมาย ศ.2 แผ่นที่ 12 

นายนัสที่ทําบันทึกข้อความด่วนที่สุดถึงอธิบดีกรมราชทัณฑ์พร้อมเสนอ ใบแสดงความเห็นแพทย์ดังกล่าว ขออนุญาตให้จําเลยรักษาตัวนอกเรือนจําเกินกว่า 120 วัน ตามบันทึกข้อความ ด่วนที่สุด ที่ ยธ 0768/414 ลงวันที่ 21 ธันวาคม 2566 เอกสารหมาย ศ.1 แฟ้มที่ 1 แผ่นที่ 189 เมื่อวันที่ 8 มกราคม 2567 นายสหการณ์ เพ็ชรนรินทร์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ อนุญาตให้จําเลยรักษาตัว นอกเรือนจําเกินกว่า 120 วัน ตามบันทึกข้อความ ด่วนที่สุด ที่ ยธ 0701/ลับ/627 ลงวันที่ 4 มกราคม 2567 เอกสารหมาย ศ.1 แฟ้มที่ 1 แผ่นที่ 192 เมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2567 จําเลยได้รับการปล่อยตัว คุมประพฤติและเรือนจําพิเศษกรุงเทพมหานครออกหนังสือสําคัญพักการลงโทษจําเลยกรณีมีเหตุพิเศษ ตามเอกสารหมาย ศ.1 แฟ้มที่ 1 แผ่นที่ 268 และที่ 269 และในวันเดียวกันจําเลยออกจากโรงพยาบาลตํารวจ ต่อมาเมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2567 ศาลอาญาธนบุรีออกหมายปล่อยจําเลย ตามพระราชกฤษฎีกาพระราชทาน อภัยโทษ พ.ศ. 2567 มาตรา 6 (3) ตามหมายปล่อย เอกสารหมาย ศ.1 แฟ้มที่ 1 แผ่นที่ 298 ที่ 300 และที่ 302

คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยประการแรกว่า ศาลมีอํานาจไต่สวนการบังคับโทษจําเลย หรือไม่ โดยจําเลยทําคําชี้แจงโต้แย้งในทํานองว่า การบังคับโทษตามหมายจําคุกเมื่อคดีถึงที่สุดของศาล เป็นอํานาจ ในการบริหารโทษของกรมราชทัณฑ์ ไม่มีกฎหมายกําหนดให้ศาลมีอํานาจไต่สวน ศาลฎีกาแผนกคดีอาญา ของผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมืองจึงไม่มีอํานาจไต่สวน นั้น เห็นว่า รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย นกคดีอาญาของผู้ดํารงตําแหน่ พุทธศักราช 2560 มาตรา 188 วรรคหนึ่ง บัญญัติให้การพิจารณาพิพากษาอรรถคดีเป็นอํานาจของศาลซึ่งต้องดําเนินการให้เป็นไปตามกฎหมายและในพระปรมาภิไธยพระมหากษัตริย์ ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมืองซึ่งจัดตั้งขึ้นตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยจึงเป็นองค์กรที่ใช้อํานาจตุลาการในการพิจารณาพิพากษาอรรถคดีให้เป็นไปตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายและในพระปรมาภิไธยพระมหากษัตริย์

ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมืองเป็นศาลที่มีคําพิพากษาถึงที่สุด ให้ลงโทษจําคุกจําเลยและเป็นศาลที่ออกหมายจําคุกเมื่อคดีถึงที่สุดถึงผู้บัญชาการเรือนจําพิเศษกรุงเทพมหานคร

ให้ผู้บัญชาการเรือนจําจําคุกจําเลยไว้ตามหมาย ซึ่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณา คดีอาญาของผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมือง พ.ศ. 2560 มาตรา 65 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า การบังคับให้เป็นไป ตามคําพิพากษาหรือคําสั่งในคดีให้เป็นไปตามข้อกําหนดของประธานศาลฎีกา และข้อกําหนดเกี่ยวกับ การดําเนินคดีของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมือง พ.ศ. 2562 ข้อ 61 วรรคหนึ่ง กําหนดว่า การบังคับคดีอาญาให้เป็นไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ซึ่งในเรื่องนี้ประมวล กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 89 บัญญัติว่า หมายขังหรือหมายจําคุกต้องจัดการให้เป็นไปตามหมายนั้น ในเขตศาลซึ่งออกหมาย เว้นแต่บัญญัติไว้เป็นอย่างอื่นในประมวลกฎหมายนี้หรือกฎหมายอื่น จากบทบัญญัติ ตามมาตรา 89 ดังกล่าว 

หมายความว่า เรือนจําพิเศษกรุงเทพมหานครต้องปฏิบัติตามหมายจําคุกเมื่อคดีถึงที่สุด กล่าวคือ ต้องนําตัวจําเลยไปคุมขังในเรือนจําให้เป็นไปตามหมายจําคุกเมื่อคดีถึงที่สุด ดังนั้น เมื่อความปรากฏ แก่ศาลว่า อาจมีการบังคับโทษจําเลยไม่เป็นไปตามหมายจําคุกเมื่อคดีถึงที่สุด เช่นนี้ ศาลฎีกาแผนกคดีอาญา ของผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมืองซึ่งเป็นศาลที่พิพากษาลงโทษจําคุกและออกหมายจําคุกเมื่อคดีถึงที่สุด ย่อมคงไว้ ซึ่งอํานาจในการสั่งการให้จัดการหมายจําคุกให้เป็นไปตามหมายนั้นในเขตศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 89 ดังกล่าว 

โดยการไต่สวนเพื่อตรวจสอบว่าได้มีการบังคับโทษให้เป็นไปตามหมายจําคุก เมื่อคดีถึงที่สุดของศาลหรือไม่ การไต่สวนดังกล่าวมีบทบัญญัติแห่งกฎหมายรับรองไว้ในข้อกําหนดเกี่ยวกับการดําเนินคดีของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมือง พ.ศ. 2562 ข้อ 61 วรรคสอง ที่กําหนดให้ศาลมีอํานาจออกคําสั่งใดๆ ตามที่เห็นสมควร เพื่อบังคับให้เป็นไปตามคําพิพากษาหรือคําสั่งของศาล และยังมีอํานาจสั่งให้ทุเลาการบังคับโทษจําคุกในกรณีที่ผู้ต้องขังเจ็บป่วยซึ่งเกรงว่าจะถึงอันตรายแก่ชีวิตถ้าต้องจําคุก เมื่อจําเลย สามี ภริยา ญาติของจําเลย พนักงานอัยการ ผู้บัญชาการเรือนจํา หรือเจ้าพนักงาน ผู้มีหน้าที่จัดการตามหมายจําคุกร้องขอ หรือเมื่อศาลเห็นสมควรก็ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา ความอาญา มาตรา 246 แม้ผู้บัญชาการเรือนจําพิเศษกรุงเทพมหานครและอธิบดีกรมราชทัณฑ์จะมีอํานาจ ตามพระราชบัญญัติราชทัณฑ์ พ.ศ. 2560 มาตรา 55 และกฎกระทรวงการส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัว นอกเรือนจํา พ.ศ. 2563 และเลือกที่จะส่งตัวจําเลยไปรักษาตัวนอกเรือนจําตามพระราชบัญญัติราชทัณฑ์ พ.ศ. 2560 และกฎกระทรวงดังกล่าว 

การส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจําถือว่าเป็นการให้ความคุ้มครอง สิทธิเสรีภาพในชีวิตและร่างกาย และเป็นสิทธิในการเข้าถึงการรักษาพยาบาลของผู้ต้องขัง แต่การนําตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจ่านั้นต้องอยู่บนพื้นฐานของข้อเท็จจริงที่เป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของกฎหมายว่าด้วยการส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจําด้วย มิใช่ว่าเมื่อเรือนจําพิเศษกรุงเทพมหานครหรือกรมราชทัณฑ์ใช้อํานาจตามกฎหมายที่บัญญัติไว้เป็นการเฉพาะแล้วจะไม่อยู่ภายใต้การตรวจสอบความถูกต้องชอบด้วยกฎหมายโดยศาลซึ่งมีคําพิพากษาและออกหมายจําคุกเมื่อคดีถึงที่สุด 

ดังนั้น หากความปรากฏแก่ศาลว่า อาจมีการบังคับโทษผู้ต้องขังในคดีนี้ไม่เป็นไปตามหมายจําคุกเมื่อคดีถึงที่สุด ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมืองซึ่งเป็นศาลที่พิพากษาลงโทษจําคุกและออกหมายจําคุกเมื่อคดีถึงที่สุดย่อมมีอํานาจไต่สวนและตรวจสอบว่า การที่ผู้บัญชาการเรือนจําพิเศษกรุงเทพมหานครส่งตัวจําเลยไปรักษาตัว นอกเรือนจําและอธิบดีกรมราชทัณฑ์อนุญาตให้จําเลยรักษาตัวอยู่ภายนอกเรือนจําต่อเนื่องจนได้รับการปล่อยตัว เป็นไปตามหลักเกณฑ์ตามพระราชบัญญัติราชทัณฑ์ พ.ศ. 2560 มาตรา 55 และกฎกระทรวงที่เกี่ยวข้องหรือไม่ และเป็นการบังคับโทษให้เป็นไปตามหมายจําคุกเมื่อคดีถึงที่สุดของศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา ความอาญา มาตรา 89 หรือไม่ คําชี้แจงของจําเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น

@ นายทักษิณ เดินทางมาถึงศาลฎีกา พร้อมทีมทนายความ และน.ส.แพทองธาร ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี นางสาวพินทองทา ชินวัตร คุณากรวงศ์  เพื่อเข้าฟังคำสั่งศาลฯ 

คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยประการต่อไปว่า การไต่สวนของศาลเป็นการดําเนินกระบวนพิจารณา กับคําสั่งของศาลที่ให้ยกคําร้องเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2566 และวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2567 หรือไม่ 

โดยจําเลยทําคําชี้แจงโต้แย้งในทํานองว่า นายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ เคยยื่นคําร้องมาแล้ว 2 ครั้ง เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2566 และวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2567 ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมืองมีคําสั่งให้ยกคําร้องทั้งสองฉบับ เมื่อนายชาญชัยมายื่นคําร้องในทํานองเดียวกันอีกเมื่อวันที่ 10 มกราคม 2568 

การที่ศาลไต่สวนกรณีเดียวกันนี้อีกจึงเป็นการดําเนินกระบวนพิจารณาซ้ำอันเป็นการต้องห้ามตามกฎหมาย นั้น เห็นว่า การดําเนินกระบวนพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 144 ประกอบ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมือง พ.ศ. 2560 มาตรา 8 วรรคสาม ต้องเป็นกรณีที่ศาลมีคําพิพากษาหรือคําสั่งวินิจฉัยชี้ขาดคดีหรือประเด็นข้อใดแห่งคดีแล้ว จึงต้องห้ามมิให้ดําเนินกระบวนพิจารณาในศาลนั้นอันเกี่ยวกับคดีหรือประเด็นที่ได้วินิจฉัยชี้ขาดแล้วอีก

แต่ที่มาของประเด็นที่ศาลนี้ได้วินิจฉัยตามที่นายชาญชัยยื่นคําร้องมาก่อนหน้านี้ทั้งสองฉบับก่อให้เกิดประเด็นแห่งคดี ตามคําร้องฉบับแรกที่ยื่นเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2566 ว่าเจ้าหน้าที่ของกรมราชทัณฑ์ปฏิบัติหน้าที่ชอบด้วย กฎหมายหรือไม่ และเกิดประเด็นแห่งคดีตามคําร้องฉบับที่สองที่ยื่นเมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2567 ว่า กรณีตามคําร้องที่ยื่นมีการทุเลาการบังคับโทษตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 246หรือไม่ 

ส่วนที่มาแห่งประเด็นแห่งคดีของการไต่สวนครั้งนี้ ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดํารงตําแหน่ง ทางการเมืองกําหนดประเด็นการไต่สวนตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏต่อศาล ซึ่งแสดงให้เห็นว่ากรณีอาจมีการ บังคับโทษไม่เป็นไปตามหมายจําคุกเมื่อคดีถึงที่สุดของศาล จึงเห็นสมควรให้มีการไต่สวนเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงดังกล่าว และศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมืองยังไม่เคยมีคําวินิจฉัยชี้ขาด ในประเด็นนี้มาก่อน การดําเนินกระบวนพิจารณาไต่สวนของศาลในชั้นนี้จึงไม่เป็นการดําเนินกระบวนพิจารณาซ้ำ กับคําสั่งศาลตามคําร้องทั้งสองฉบับดังที่จําเลยโต้แย้ง คําชี้แจงของจําเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น

@ตรวจอาการทักษิณตอนเข้าเรือนจำ มีโรคเฉพาะทาง แต่ไม่ฉุกเฉิน

คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยประการสุดท้ายว่า มีการบังคับโทษจําเลยเป็นไปตามหมายจําคุก เมื่อคดีถึงที่สุดหรือไม่ ข้อเท็จจริงได้ความจากการไต่สวนว่า ในวันที่ 22 สิงหาคม 2506 หลังจากเรือนจําพิเศษ กรุงเทพมหานครได้รับตัวจําเลยไว้ตามหมายจําคุกเมื่อคดีถึงที่สุดแล้วได้นําตัวจําเลยไปคุมขังไว้ที่ห้องกักโรค แดน 7 ซึ่งเป็นสถานพยาบาลของเรือนจําพิเศษกรุงเทพมหานคร โดยมีแพทย์หญิงรวมทิพย์ สุภานันท์ แพทย์อายุรกรรมทั่วไปประจําทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ ตรวจร่างกายจําเลยขณะรับตัว และแพทย์หญิงรวมทิพย์ทําบันทึกการตรวจร่างกายและสรุปประวัติการรักษาโรคของจําเลยจากเวชระเบียนของโรงพยาบาลต่างประเทศ ตามเวชระเบียนสถานพยาบาลเรือนจําพิเศษกรุงเทพมหานคร เอกสารหมาย ศ.1 แฟ้มที่ แผ่นที่ 49 และที่ 50 

โดยสรุปโรคประจําตัวของจําเลยรวม 10 ข้อ คือ 

ข้อที่ 1 ปัญหาโรคหัวใจ ตรวจแคลเซียม เกาะในหลอดเลือดได้ 591 มีภาวะเสี่ยงเรื่องหลอดเลือดหัวใจ มีอัตราการบีบตัวของหัวใจอยู่ที่ 65 ถึง 70 เปอร์เซ็นต์ อยู่ในเกณฑ์ดี มีหัวใจรั่วเล็กน้อย มีหลอดเลือดหัวใจขยายเล็กน้อย มีหัวใจโต ไม่พบการขยับตัว ผิดปกติของผนังหัวใจ จําเลยแจ้งแพทย์หญิงรวมทิพย์ว่าจําเลยมีอาการแน่นหน้าอกอยู่เดิม เป็นๆ หายๆ แต่ตอนตรวจไม่มีอาการแน่นหน้าอก มียารับประทานต่อเนื่อง คือ ยาป้องกันการเกิดลิ่มเลือด (Plavix) และยาลด คอเลสเตอรอล (Lipitor) 

ข้อที่ 2 ปัญหาโรคปอดเรื้อรัง เคยติดเชื้อโควิด-19 ลงปอดเมื่อเดือนสิงหาคม 2563 มีอาการเหนื่อยขณะออกกําลังกาย ขณะตรวจวัดออกซิเจนปลายนิ้ว 94 เปอร์เซ็นต์ อยู่ในระดับที่รับได้

ข้อที่ 3 ปัญหาโรคเกี่ยวกับกระดูกสันหลัง มีประวัติกระดูกสันหลังเสื่อมที่คอมีการกดทับเส้นประสาท ขณะตรวจ จําเลยบอกว่ามีอาการอ่อนแรง มียารับประทานเดิมเป็นยาแก้ปวด และในประวัติการรักษาของต่างประเทศให้ทํา กายภาพบําบัดต่อเนื่อง

ข้อที่ 4 ปัญหาเกี่ยวกับโรคไวรัสตับอักเสบบี รับประทานยามาโดยตลอด 

ข้อที่ 5 ปัญหา เรื่องความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง เคยผ่านิ่วในถุงน้ำดีจากต่างประเทศ มียารับประทานโรคความดัน โลหิตสูงและยาลดไขมันในเลือด

ข้อที่ 6 ปัญหาไส้เลื่อนที่ขาหนีบ 

ข้อที่ 7 ปัญหาข้อเสื่อม ข้อนิ้วเสื่อม นิ้วล็อก ที่มือขวา นิ้วกลางมือขวา รักษาโดยรับประทานยาและทํากายภาพบําบัด 

ข้อที่ 8 ปัญหาเอ็นไหล่ข้างซ้ายฉีกขาด เมื่อปี 2557 ยังไม่เคยรักษามาก่อน 

ข้อที่ 9 ปัญหาติดเชื้อในกระเพาะอาหาร ได้รับยาฆ่าเชื้อแล้ว เมื่อเดือนเมษายน 2562 

และข้อที่ 10 เคยผ่าตัดต้อกระจก รับประทานยาเดิมต่อเนื่อง ขณะที่ตรวจร่างกาย จําเลยมีอาการเหนื่อยเล็กน้อย อาการโดยรวมทั้งหมดคงที่ มีเพียง 3 โรค ที่แพทย์หญิงรวมทิพย์เห็นว่าจําเลย ควรได้รับการตรวจเพิ่มเติม ได้แก่ โรคกระดูกสันหลังทับเส้นประสาทและโรคหัวใจเนื่องจากทัณฑสถาน โรงพยาบาลราชทัณฑ์ไม่มีแพทย์เฉพาะทาง และโรคไวรัสตับอักเสบบีเนื่องจากทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ไม่มีคลินิกโรคตับ แพทย์หญิงรวมทิพย์มีความเห็นว่าจําเป็นต้องส่งตัวไปรักษาที่โรงพยาบาลภายนอกเรือนจํา ซึ่งมีศักยภาพสูงกว่าในวันและเวลาราชการ แต่อยู่ในภาวะที่ไม่ใช่กรณีฉุกเฉิน ซึ่งความเห็นของแพทย์หญิงรวมทิพย์ ดังกล่าวสอดคล้องกับความเห็นของศาสตราจารย์เกียรติคุณนายแพทย์ประสิทธิ์ วัฒนาภา แพทย์ผู้เชี่ยวชาญจากแพทยสภา ที่เบิกความว่า จากการพิจารณาเวชระเบียนโรงพยาบาลตํารวจและประวัติการรักษาโรคของจําเลย พบว่า ประเด็นทางด้านสุขภาพ 10 ข้อ นั้น ข้อที่ 1 ถึงที่ 7 เป็นโรคเรื้อรัง หมายความว่า โรคที่ยังอาจจะ จําเป็นต้องรับประทานยาหรือยังต้องทํากายภาพบําบัดอยู่ แต่ไม่จําเป็นต้องอยู่โรงพยาบาล เช่น โรคความดัน โลหิตสูง สามารถรับประทานยาที่บ้านและกําหนดนัดมาตรวจเป็นครั้งคราวได้ 

โรคหลอดเลือดหัวใจ ยังต้องรับประทานยาป้องกันการเกิดลิ่มเลือด เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดลิ่มเลือดอุดตัน โรคปอดในกรณีของจําเลย ไม่ได้มีการให้ยาแต่ให้ออกกําลังปอด ส่วนเรื่องไขมันในเส้นเลือดต้องรับประทานยาลดคอเลสเตอรอล เพื่อลดไขมัน ข้อที่ 8 รักษาโดยไม่ผ่าตัดมาตั้งแต่ปี 2557 ข้อที่ 9 และข้อที่ 10 รักษาหายแล้ว

ข้อเท็จจริง จึงฟังได้ว่าจําเลยมีโรคประจําตัวที่ได้รับการรักษามาแล้วและโรคประจําตัวที่เป็นโรคเรื้อรังสามารถรักษา ด้วยการรับประทานยาต่อเนื่องไปได้ คงมีเฉพาะโรคกระดูกสันหลังทับเส้นประสาท โรคหัวใจ และโรคไวรัสตับอักเสบบี ที่แพทย์หญิงรวมทิพย์เห็นว่าควรให้ส่งตัวไปตรวจเพิ่มเติมที่โรงพยาบาลภายนอกเรือนจําในวันและเวลาราชการ เนื่องจากไม่ใช่กรณีฉุกเฉิน และได้ความจากนายธัญพิสิษฐ์ ขบวน พยาบาลเวรว่า ในคืนวันที่ 22 สิงหาคม 2566 เวลา 22 นาฬิกา นายธัญพิสิษฐ์วัดความดันโลหิตจําเลยได้ 178/98 มิลลิเมตรปรอท หัวใจเต้น 86 ครั้ง/นาที หายใจ 24 ครั้ง/นาที ออกซิเจนปลายนิ้ว 92 เปอร์เซ็นต์ อุณหภูมิร่างกาย 36.8 องศาเซลเซียส 

จําเลยแจ้งว่า มีอาการอ่อนเพลีย ขาขวาอ่อนแรงเล็กน้อย นอนไม่หลับ บ่นแน่นหน้าอกและมีความดันโลหิตสูง นายธัญพิสิษฐ์ เห็นว่าเป็นอาการของโรคหัวใจเนื่องจากได้อ่านบันทึกการตรวจร่างกายที่แพทย์หญิงรวมทิพย์บันทึก เกี่ยวกับปัญหาโรคหัวใจในข้อที่ 1 ว่าจําเลยมีอาการแน่นหน้าอกเป็นๆ หายๆ ประกอบกับมีความดันโลหิตสูง 

นายธัญพิสิษฐ์จึงโทรศัพท์ปรึกษานายแพทย์นทพร ปิยะสินซึ่งปฏิบัติหน้าที่แพทย์เวรที่ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ในคืนเกิดเหตุ นายแพทย์นทพรให้คําแนะนําว่าให้รีบส่งตัวจําเลยไปรักษานอกเรือนจําโดยเร็ว

นายธัญพิสิษฐ์ติดต่อแพทย์หญิงรวมทิพย์ขออนุญาตใช้แบบสําหรับส่งผู้ป่วยไปรับการตรวจหรือรักษาต่อ ที่แพทย์หญิงรวมทิพย์เขียนสรุปในใบบันทึกการตรวจขณะรับตัวจําเลยเพื่อใช้ประกอบการส่งตัวจําเลย แล้วทําบันทึกข้อความขอส่งตัวจําเลยไปรักษาตัวยังโรงพยาบาลภายนอก และนายสัญญา วงศ์หินกอง พัศดีเวร อนุญาตให้ส่งตัวจําเลยไปรักษาตัวนอกเรือนจํา หลังจากนั้นเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครส่งตัวจําเลยไปโรงพยาบาลตํารวจ โดยไม่ได้ส่งตัวจําเลยไปที่ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ซึ่งมีแพทย์เวรประจําอยู่ในคืนดังกล่าว

และทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์อยู่ห่างจากเรือนจําพิเศษกรุงเทพมหานครเพียง 200 เมตร หรือแจ้งให้ แพทย์เวรประจําทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์มาที่สถานพยาบาลของเรือนจําพิเศษกรุงเทพมหานคร เพื่อให้แพทย์ตรวจรักษาและให้ความช่วยเหลือในเบื้องต้น 

ซึ่งในการส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจํานั้น พระราชบัญญัติราชทัณฑ์ พ.ศ. 2560 มาตรา 55 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า ในกรณีที่ผู้ต้องขังป่วย มีปัญหา เกี่ยวกับสุขภาพจิต หรือเป็นโรคติดต่อ ให้ผู้บัญชาการเรือนจําดําเนินการให้ผู้ต้องขังได้รับการตรวจจาก แพทย์โดยเร็ว วรรคสอง บัญญัติว่า หากผู้ต้องขังนั้นต้องได้รับการบําบัดรักษาเฉพาะด้านหรือ ถ้าคงรักษาพยาบาลอยู่ในเรือนจําจะไม่ทุเลาดีขึ้น ให้ส่งตัวผู้ต้องขังดังกล่าวไปยังสถานบําบัดรักษาสําหรับโรคชนิดนั้นโดยเฉพาะ โรงพยาบาลหรือสถานบําบัดรักษาทางสุขภาพจิต นอกเรือนจําต่อไป 

ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์และวิธีการส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจํา ระยะเวลาการรักษา รวมทั้งผู้มีอํานาจ อนุญาต ให้เป็นไปตามกฎกระทรวง โดยได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการวรรคสาม บัญญัติว่า ในกรณีที่ส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจําตามวรรคสอง มิให้ถือว่าผู้ต้องขังนั้นพ้นจากการคุมขัง และกฎกระทรวงการส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจํา พ.ศ. 2563 ข้อ 2 กําหนดว่า เมื่อผู้บัญชาการเรือนจําได้รับรายงานจากเจ้าพนักงานเรือนจําว่า ผู้ต้องขังคนใดป่วย มีปัญหาเกี่ยวกับ สุขภาพจิต หรือเป็นโรคติดต่อ

ให้ส่งตัวผู้ต้องขังคนนั้นไปรับการตรวจในสถานพยาบาลของเรือนจําโดยเร็ว… ถ้าคงรักษาพยาบาลอยู่ในเรือนจําจะไม่ทุเลาดีขึ้น ให้ดําเนินการดังต่อไปนี้

(1) กรณีผู้บัญชาการเรือนจํา อนุญาตให้ส่งตัวผู้ต้องขังคนนั้นไปรับการรักษาในสถานบําบัดรักษาสําหรับโรคชนิดนั้นโดยเฉพาะ โรงพยาบาล หรือสถานบําบัดรักษาทางสุขภาพจิตของรัฐนอกเรือนจํา ตามที่แพทย์ พยาบาล หรือ เจ้าพนักงานเรือนจําซึ่งผ่านการอบรมด้านการพยาบาลเสนอให้เจ้าพนักงานเรือนจําพาผู้ต้องขังคนนั้นไป และกลับในวันเดียวกัน ตามพระราชบัญญัติราชทัณฑ์ พ.ศ. 2560 และกฎกระทรวงดังกล่าวมีสาระสําคัญของการ ส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจําที่จะต้องปฏิบัติเป็นลําดับขั้นตอนดังนี้ กล่าวคือ เมื่อผู้ต้องขังป่วยต้องได้รับ การตรวจจากแพทย์ในสถานพยาบาลของเรือนจําโดยเร็วตามมาตรา 55 วรรคหนึ่ง ประกอบกฎกระทรวงดังกล่าว

ข้อ 2 วรรคหนึ่ง หากแพทย์เห็นว่าผู้ต้องขังต้องได้รับการรักษาเฉพาะด้านหรือถ้าคงรักษาตัวในสถานพยาบาล ของเรือนจําแล้วจะไม่ทุเลาดีขึ้น และแพทย์ พยาบาล หรือเจ้าพนักงานเรือนจําซึ่งผ่านการอบรมด้านการพยาบาล เสนอให้เจ้าพนักงานเรือนจําพาผู้ต้องขังไปรักษานอกเรือนจําจึงให้ส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจําได้ ตามมาตรา 55 วรรคสอง ประกอบกฎกระทรวงดังกล่าว ข้อ 2 วรรคหนึ่ง (1) ซึ่งในกรณีของเรือนจําพิเศษกรุงเทพมหานครนั้นมีทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์เป็นโรงพยาบาลแม่ข่ายและอยู่ห่างออกไป เพียง 200 เมตร ทั้งในคืนเกิดเหตุมีนายแพทย์นทพรเป็นแพทย์เวรประจํา หากนําหลักเกณฑ์ การส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจําตามพระราชบัญญัติราชทัณฑ์ พ.ศ. 2560 มาตรา 55 และ กฎกระทรวงการส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจํา พ.ศ. 2563 ดังกล่าวมาปรับใช้กับเรือนจําพิเศษ กรุงเทพมหานครในกรณีนี้แล้ว 

ในคืนเกิดเหตุเมื่อเรือนจําพิเศษกรุงเทพมหานครพบว่าจําเลยป่วยเรือนจําพิเศษกรุงเทพมหานครต้องส่งตัวจําเลยไปพบแพทย์ที่ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ ซึ่งเป็นโรงพยาบาลแม่ข่าย หรือแจ้งให้แพทย์ที่ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์มาที่สถานพยาบาล ของเรือนจําพิเศษกรุงเทพมหานครเพื่อตรวจรักษาจําเลยก่อน 

หากแพทย์ของทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ตรวจรักษาแล้วเห็นว่าต้องได้รับการรักษาเฉพาะด้านหรือถ้าคงรักษาพยาบาลอยู่ในเรือนจําอาการ จะไม่ทุเลาดีขึ้น และมีความเห็นให้ส่งตัวจําเลยไปรักษาตัวนอกเรือนจํา เรือนจําพิเศษกรุงเทพมหานครจึงมีอํานาจส่งตัวจําเลยไปรักษาตัวนอกเรือนจําได้ และเมื่อส่งตัวจําเลยไปรักษานอกเรือนจําแล้ว หากจําเลยมีอาการทุเลาดีขึ้นจะต้องนําตัวจําเลยกลับมารักษาตัวต่อที่สถานพยาบาลของเรือนจําพิเศษกรุงเทพมหานคร 

แต่ข้อเท็จจริงได้ความว่า นายธัญพิสิษฐ์อ้างว่าจําเลยมีค่าความดันโลหิตสูงขึ้น เจ็บหน้าอกลักษณะเหมือน คนเป็นโรคหัวใจและออกซิเจนในเลือดต่ำ

@ทำผิดกฎหมาย เพราะไม่ส่งตัวไปโรงพยาบาลราชทัณฑ์ก่อน

แต่นายธัญพิสิษฐ์ไม่ได้ส่งตัวจําเลยไปที่ทัณฑสถานโรงพยาบาล ราชทัณฑ์หรือแจ้งให้แพทย์เวรประจําทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์มาที่สถานพยาบาลของเรือนจําพิเศษกรุงเทพมหานครเพื่อตรวจรักษาจําเลยก่อน กลับดําเนินการส่งตัวจําเลยไปรักษาตัวนอกเรือนจําที่โรงพยาบาล ตํารวจในทันที 

ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ว่า การส่งตัวจําเลยไปรักษาตัวนอกเรือนจําไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติ ราชทัณฑ์ พ.ศ. 2560 มาตรา 55 พ.ศ. 2563และกฎกระทรวงการส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจำ พ.ศ.2563

@รพ.ตำรวจไม่ได้ปฏิบัติกับทักษิณแบบผู้ป่วยฉุกเฉิน

นอกจากนี้ นายธัญพิสิษฐ์เบิกความว่าเป็นกรณีที่ต้องส่งจําเลยออกไปรักษาตัวนอกเรือนจําแบบฉุกเฉินเนื่องจากจําเลยมีอาการแน่นหน้าอก แต่ข้อเท็จจริงกลับได้ความจากศาสตราจารย์เกียรติคุณนายแพทย์ประสิทธิ์ พลตํารวจโทนายแพทย์โสภณรัชต์ สิงหจารุ นายแพทย์ใหญ่โรงพยาบาลตํารวจในขณะนั้น และนายแพทย์พงศ์ภัค อารียาภินันท์ รักษาราชการแทนผู้อํานวยการทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ สอดคล้องกันว่า หากมีการนําตัวผู้ป่วยฉุกเฉินมาส่งที่โรงพยาบาลนั้น ขั้นตอนแรกจะต้องพาผู้ป่วยไปส่งที่ห้องฉุกเฉินและจะมีการตรวจรักษา เบื้องต้นเกี่ยวกับอาการที่ส่งมารักษาฉุกเฉิน ทั้งในกรณีของโรงพยาบาลตํารวจมีระเบียบโรงพยาบาลตํารวจ ว่าด้วยการรับตัวผู้ป่วยคดีที่เป็นผู้ต้องหา ผู้ต้องกัก ผู้ต้องขังหรือนักโทษ เข้ารับการรักษาพยาบาลเป็นผู้ป่วยของ โรงพยาบาลตํารวจ พ.ศ. 2557 ได้กําหนดแนวทางการตรวจรักษาในกรณีผู้ป่วยฉุกเฉินไว้ในข้อ 5.3 ว่า ในกรณี นอกเวลาราชการ แพทย์ผู้ปฏิบัติหน้าที่ที่ห้องฉุกเฉินและอุบัติเหตุจะเป็นผู้ให้การตรวจรักษา และกําหนด แนวทางการรับตัวผู้ป่วยคดีไว้ในห้องผู้ป่วยในข้อ 6.2 ว่า ให้รับตัวผู้ป่วยคดีไว้ที่ห้องผู้ป่วยที่โรงพยาบาล ตํารวจจัดไว้สําหรับผู้ต้องหา ผู้ต้องกัก ผู้ต้องขังหรือนักโทษ เว้นแต่นายแพทย์ใหญ่ (สบ 4) จะพิจารณา อนุญาตเป็นอย่างอื่น 

แต่ข้อเท็จจริงได้ความจากนายจารุวัฒน์ เมืองไทยและนายธีระศักดิ์ คงหอม เจ้าพนักงาน เรือนจําชุดควบคุมว่า เมื่อส่งตัวจําเลยไปถึงโรงพยาบาลตํารวจได้พาจําเลยไปที่ห้องพัก ชั้นที่ 14 ของอาคารมหาภูมิพลราชานุสรณ์ 88 พรรษา (มมร.) ซึ่งไม่ใช่ห้องฉุกเฉินหรือห้องอุบัติเหตุ และได้ความ จากพลตํารวจโทนายแพทย์ทวีศิลป์ เวชวิจารณ์ นายแพทย์ใหญ่โรงพยาบาลตํารวจ และพันตํารวจเอก นายแพทย์ชนะ จงโชคดี นายแพทย์ สบ 5 แพทย์ผู้รับตัวจําเลย ว่า ห้องพักของจําเลย ชั้นที่ 14 เป็นห้องพักพิเศษ 

แสดงว่าเมื่อจําเลยถูกส่งไปถึงโรงพยาบาลตํารวจไม่ได้มีการปฏิบัติต่อจําเลยแบบผู้ป่วยฉุกเฉินเหมือนเช่นกรณีปกติของผู้ป่วยฉุกเฉินโดยทั่วไป 

ทั้งได้ความจากพลตํารวจโทนายแพทย์โสภณรัชต์ และพันตํารวจเอกนายแพทย์ชนะว่า ในการส่งตัวจําเลยไปที่ห้องพักชั้นที่ 14 พยานทั้งสองปากไม่ทราบว่า ผู้ใดเป็นผู้สั่ง นับว่าเป็นเรื่องที่ผิดปกติและผิดวิสัยอย่างยิ่งที่นายแพทย์ใหญ่โรงพยาบาลตํารวจและแพทย์ผู้รับตัวจําเลยต่างก็ไม่ทราบเรื่องดังกล่าว 

พฤติการณ์ที่โรงพยาบาลตํารวจรับตัวจําเลยไว้ในคืนดังกล่าว จึงไม่สอดคล้องกับอาการที่อ้างเป็นเหตุในการส่งตัวจำเลยว่าเป็นภาวะฉุกเฉินและยังขัดต่อระเบียบโรงพยาบาลตํารวจ ว่าด้วยการรับตัวผู้ป่วยคดีที่เป็นผู้ต้องหา ผู้ต้องกัก ผู้ต้องขังหรือนักโทษ เข้ารับการ รักษาพยาบาลเป็นผู้ป่วยของโรงพยาบาลตํารวจ พ.ศ. 2557 

จากข้อเท็จจริงตามที่ได้ความดังกล่าวมา แสดงให้เห็นว่า โรงพยาบาลตํารวจเตรียมห้องพักพิเศษ ชั้นที่ 14 ไว้ก่อนแล้ว และเมื่อมีการส่งตัวจําเลย มาถึงโรงพยาบาลตํารวจก็มีการนําตัวจําเลยไปที่ห้องพักพิเศษ ชั้นที่ 14 ดังกล่าว

และยังได้ความจาก ศาสตราจารย์เกียรติคุณนายแพทย์ประสิทธิ์และศาสตราจารย์นายแพทย์ไชยรัตน์ เพิ่มพิกุล แพทย์ ผู้เชี่ยวชาญจากแพทยสภา สรุปได้ว่า ในการดูแลผู้ป่วยฉุกเฉินเบื้องต้นที่มีอาการเกี่ยวกับโรคหัวใจนั้น ในทางปฏิบัติเมื่อพบว่าผู้ป่วยมีอาการแน่นหน้าอก อาการเหนื่อย อาจจะเป็นอาการสัญญาณบอกเบื้องต้น ของหลอดเลือดหัวใจอุดตันได้ สามารถตรวจพิสูจน์ด้วยการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (EKG) ซึ่งทุกโรงพยาบาล สามารถทําได้ 

ผู้ป่วยที่มีการอาการเจ็บหน้าอกรุนแรงควรได้รับการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจภายใน 10 นาที นับแต่มาถึงสถานพยาบาล และได้ความจากพันตํารวจเอกนายแพทย์ชนะว่า ในวันที่ 23 สิงหาคม 2566 เวลา 00.20 นาฬิกา พันตํารวจเอกนายแพทย์ชนะเป็นแพทย์ผู้รับตัวจําเลยและทราบว่าจําเลยถูกส่งตัวมาที่โรงพยาบาลตํารวจฉุกเฉินเพราะมีอาการแน่นหน้าอก ออกซิเจนในเลือดต่ำลักษณะของคนเป็นโรคหัวใจ 

ดังนั้น การตรวจรักษาจําเลยอย่างผู้ป่วยฉุกเฉินในกรณีดังกล่าวนี้แพทย์ที่รับตัวจําเลยย่อมจะต้องรีบดําเนินการตรวจรักษาเกี่ยวกับโรคหัวใจก่อน แต่กลับได้ความจากพันตํารวจเอกนายแพทย์ชนะว่าในวันดังกล่าวพันตํารวจเอกนายแพทย์ชนะเพียงแต่ให้ยาพ่นขยายหลอดลมเพื่อช่วยเกี่ยวกับการทํางานของปอดและให้ยาลดความดันโลหิตแก่จําเลยเพื่อลดความดันโลหิตสูง และจําเลยแจ้งพันตํารวจเอก นายแพทย์ชนะว่าอาการแน่นหน้าอกดีขึ้น ตามเวชระเบียนบันทึกความคืบหน้าการรักษา (Progress notes) เอกสารหมาย ศ.2 แผ่นที่ 14 และที่ 15 โดยไม่ได้ให้ยาเกี่ยวกับอาการโรคหัวใจแก่จําเลย 

การที่พันตํารวจเอกนายแพทย์ชนะไม่ได้ให้ยาหรือรักษาเบื้องต้นเกี่ยวกับอาการของโรคหัวใจแก่จําเลยซึ่งอ้างเป็นเหตุฉุกเฉินในการส่งตัวมาที่โรงพยาบาลตํารวจนับว่าเป็นเรื่องที่ผิดปกติ ประกอบกับได้ความจากศาสตราจารย์เกียรติคุณนายแพทย์ประสิทธิ์และศาสตราจารย์นายแพทย์ไชยรัตน์ที่ให้ความเห็นเกี่ยวกับการรักษาจําเลยในคืนที่รับตัว 

สรุปได้ว่า เมื่อพยานทั้งสองตรวจสอบจากเวชระเบียนบันทึกความคืบหน้าการรักษาตามเอกสารหมาย ศ.2 แผ่นที่ 14 และที่ 15 พบว่าในวันที่ 23 สิงหาคม 2566 ที่มีการส่งตัวจําเลยมาที่ โรงพยาบาลตํารวจโดยอ้างว่าเป็นสถานการณ์ฉุกเฉินนั้น ไม่มีการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ และไม่มีการตามแพทย์ ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคหัวใจมาดูอาการในทันที 

เพิ่งจะมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคหัวใจเข้ามาตรวจจําเลยในวันที่ 24 สิงหาคม 2566 หรือหลังจาก 24 ชั่วโมงไปแล้วนับแต่วันที่มาถึงโรงพยาบาลตํารวจ ซึ่งตรวจวัดความดัน โลหิตจําเลยได้ 140 มิลลิเมตรปรอท และตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจจําเลยพบว่าการบีบตัวของหัวใจปกติ ไม่มีภาวะ กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน (active ACS) รวมถึงจากการตรวจซ้ำในวันต่อมาก็ไม่พบว่ามีภาวะกล้ามเนื้อ หัวใจขาดเลือดเฉียบพลันดังกล่าว มีเพียงความดันโลหิตเพิ่มขึ้นเล็กน้อย แสดงว่าความดันโลหิตที่สูงซึ่งเป็นโรค เรื้อรังอาจถูกกระตุ้นด้วยสาเหตุหลายอย่างที่ทําให้ความดันโลหิตสูงขึ้น

@ ทักษิณ ชินวัตร

ส่วนปัญหาเรื่องอาการเหนื่อยหอบ มีค่าออกซิเจนในเลือดต่ำนั้นก็ไม่มีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคปอดมาตรวจรักษา การรักษาจําเลยของโรงพยาบาลตํารวจ ไม่เป็นการรักษาแบบผู้ป่วยฉุกเฉิน และได้ความจากนายแพทย์วัฒน์ชัย มิ่งบรรเจิดสุข ผู้อํานวยการทัณฑสถาน โรงพยาบาลราชทัณฑ์ในขณะนั้น และนายแพทย์พงศ์ภัค รักษาราชการแทนผู้อํานวยการทัณฑสถานโรงพยาบาล ราชทัณฑ์ ซึ่งเป็นแพทย์เชี่ยวชาญเกี่ยวกับโรคหัวใจ สรุปได้ว่า ที่ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์มีเครื่องมือ ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ มียาพ่นขยายหลอดลมและยาลดความดันโลหิตที่ใช้รักษาจําเลยตามเวชระเบียนของ โรงพยาบาลตํารวจในวันที่ 23 สิงหาคม 2566 แสดงให้เห็นได้ว่า อาการของจําเลยในคืนเกิดเหตุอยู่ในศักยภาพ ที่ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์สามารถรักษาได้ ไม่จําต้องส่งตัวจําเลยไปรักษานอกเรือนจํา จากพฤติการณ์ ที่ได้ความดังกล่าวมาเชื่อได้ว่า ในคืนวันที่ 22 สิงหาคม 2566 จําเลยไม่ได้มีอาการแน่นหน้าอก แต่อ้างว่ามีอาการ แน่นหน้าอกเพื่อให้เจ้าพนักงานเรือนจําพิเศษกรุงเทพมหานครใช้เหตุดังกล่าวเป็นข้ออ้างในการส่งตัวจําเลยไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลตํารวจ 

นอกจากนี้ยังได้ความจากนายแพทย์วัฒน์ชัยและนายแพทย์พงศ์ภัคอีกว่า อาการของ จําเลยตามที่ระบุในเวชระเบียนของโรงพยาบาลตํารวจนับแต่วันที่ 24 สิงหาคม 2566 เป็นต้นไปนั้น ทัณฑสถาน โรงพยาบาลราชทัณฑ์สามารถดูแลจําเลยได้ ซึ่งข้อเท็จจริงในส่วนนี้พันตํารวจเอกนายแพทย์ชนะก็เบิกความยืนยันว่า อาการของจําเลยตั้งแต่วันที่ 24 สิงหาคม 2566 จําเลยสามารถกลับไปรักษาตัวที่ทัณฑสถานโรงพยาบาล ราชทัณฑ์ได้ จึงเห็นได้ว่า อาการแน่นหน้าอกของจําเลยหากเกิดขึ้นจริงดังที่จําเลยอ้าง อาการของจําเลยก็ทุเลาดีขึ้น และจําเลยก็สามารถกลับไปรักษาตัวที่สถานพยาบาลของเรือนจําพิเศษกรุงเทพมหานครหรือทัณฑสถานโรงพยาบาล ราชทัณฑ์ได้ตั้งแต่วันที่ 24 สิงหาคม 2566 เป็นต้นไป ที่จําเลยทําคําชี้แจงโต้แย้งในทํานองว่า การส่งตัวจําเลยไป รักษาที่โรงพยาบาลตํารวจเป็นการดําเนินการของแพทย์และเจ้าหน้าที่ มิได้เกิดจากการกระทําของจําเลยนั้น เห็นว่า การที่เรือนจําพิเศษกรุงเทพมหานครส่งตัวจําเลยไปรักษาตัวนอกเรือนจํานั้น เกิดจากสาเหตุที่จําเลยอ้างว่าตนเอง มีอาการแน่นหน้าอกซึ่งเป็นลักษณะอาการโรคหัวใจกําเริบ และเจ้าพนักงานเรือนจําพิเศษกรุงเทพมหานครเห็นควร

ให้ส่งตัวจําเลยไปรักษาตัวนอกเรือนจํา เมื่อข้อเท็จจริงที่ได้ความจากการไต่สวนเชื่อได้ว่า ในคืนดังกล่าวจําเลยไม่ได้มีอาการแน่นหน้าอกอันเป็นอาการของโรคหัวใจกําเริบตามที่จําเลยกล่าวอ้างอันเป็นเหตุให้ต้องส่งตัวจําเลยไปรักษาตัวนอกเรือนจําแต่อย่างใด 

ดังนั้น จําเลยจะอ้างว่าการส่งตัวจําเลยไปรักษาตัวนอกเรือนจํามิได้เกิดจากการกระทํา ของจําเลยย่อมฟังไม่ขึ้น 

สําหรับการรักษาจําเลยที่โรงพยาบาลตํารวจตั้งแต่วันที่ 24 สิงหาคม 2566 จนถึงวันที่ จําเลยออกจากโรงพยาบาลตํารวจเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2567 นั้น เห็นว่า หลังจากส่งตัวจําเลยไปโรงพยาบาล ตํารวจแล้วจําเลยพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลตํารวจจนครบ 30 วัน และได้ความต่อไปว่า เมื่อจําเลยอยู่ใน โรงพยาบาลตํารวจครบ 30 วัน แล้ว 

เรือนจําพิเศษกรุงเทพมหานครขอให้โรงพยาบาลตํารวจออกใบแสดงความเห็น แพทย์ และพลตํารวจโทนายแพทย์ทวีศิลป์ได้ออกใบแสดงความเห็นแพทย์ ฉบับลงวันที่ 15 กันยายน 2566 ให้เรือนจําพิเศษกรุงเทพมหานคร ตามเอกสารหมาย ศ.1 แฟ้มที่ 1 แผ่นที่ 174

@แพทยสภาอ้างผ่าตัดนิ้วล็อก ฟังไม่ขึ้น

โดยใบแสดงความเห็นแพทย์ระบุว่า การรักษายังไม่สิ้นสุดเพราะต้องรักษาแผลที่ผ่าตัด ตรวจและวางแผนผ่าตัดโรคที่รายงานจึงจําเป็นต้องรักษา ในโรงพยาบาล และพลตํารวจโทนายแพทย์ทวีศิลป์เบิกความว่า ออกใบแสดงความเห็นแพทย์ดังกล่าวเพียงระบุ อาการของจําเลยที่ต้องรักษา แต่ไม่ได้หมายความว่าจําเลยต้องพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลตํารวจ ที่ระบุว่าจําเลย ต้องรักษาบาดแผลที่ผ่าตัดนั้น หมายถึงบาดแผลจากการผ่าตัดนิ้วล็อกเมื่อวันที่ 10 กันยายน 2566 แต่ได้ความ จากศาสตราจารย์นายแพทย์กีรติ เจริญชลวานิช แพทย์ผู้เชี่ยวชาญจากแพทยสภาว่า การผ่าตัดนิ้วล็อกไม่ต้อง นอนโรงพยาบาลและไม่ต้องได้รับการผ่าตัดเร่งด่วนเป็นเพียงการผ่าตัดเล็ก ผู้ป่วยปกติทั่วไปสามารถกลับบ้านได้ในวันผ่าตัด ซึ่งการผ่าตัดดังกล่าวหาใช่สาเหตุการป่วยอันเป็นเหตุที่อ้างใช้ส่งตัวจําเลยมาที่โรงพยาบาลตํารวจไม่

ส่วนอาการเกี่ยวกับโรคหัวใจของจําเลยนั้นได้ความเห็นจากพลตํารวจตรีนายแพทย์ศุภฤกษ์ พัฒนปรีชากุลนายแพทย์ สบ 7 โรงพยาบาลตํารวจ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับโรคหัวใจและร่วมดูแลเกี่ยวกับการรักษาโรคหัวใจ ของจําเลยด้วยว่า อาการโรคหัวใจของจําเลยนั้นจําเลยตัดสินใจให้รักษาโดยวิธีการใช้ยาอย่างเดียว และอาการความดันโลหิตสูงก็รักษาโดยการให้ยา

ซึ่งแสดงให้เห็นว่าอาการของจําเลยในวันที่ 15 กันยายน 2566 ไม่มีความ จําเป็นที่โรงพยาบาลตํารวจต้องรับตัวจําเลยไว้รักษาอีกต่อไป เพราะสถานพยาบาลของเรือนจําพิเศษ กรุงเทพมหานคร หรือทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์สามารถดูแลจําเลยได้แล้ว ประกอบกับได้ความจาก รายงานการตรวจสอบของแพทยสภาตามเอกสารหมาย ศ.4 ว่า อาการของจําเลยตามเวชระเบียนโรงพยาบาลตํารวจ ณ วันที่ 15 กันยายน 2566 นั้นไม่มีเหตุที่จําเลยต้องพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลตํารวจอีกต่อไป แต่นายนัสที ทองปลาด ผู้บัญชาการเรือนจําพิเศษกรุงเทพมหานครในขณะนั้น กลับใช้ใบแสดงความเห็นแพทย์ ฉบับลงวันที่ 15 กันยายน 2566 เป็นหลักฐานประกอบเพื่อมีบันทึกข้อความถึงอธิบดีกรมราชทัณฑ์ ขออนุญาตให้จําเลยพักรักษาตัวนอกเรือนจําเกินกว่า 30 วัน ตามบันทึกข้อความที่ ยธ 0768/2471 ลงวันที่ 18 กันยายน 2566 เอกสารหมาย ศ.1 แฟ้มที่ 1 แผ่นที่ 176 และนายสิทธิ์ สุธีวงศ์ รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ รักษาราชการแทนอธิบดีกรมราชทัณฑ์ในขณะนั้น อนุญาตให้จําเลยรักษาตัวนอกเรือนจําเกินกว่า 30 วัน ตามบันทึกข้อความ ด่วนที่สุด ที่ ยธ 0705.4/31381 ลงวันที่ 20 กันยายน 2566 ตามเอกสารหมาย ศ.1

แฟ้มที่ 1 แผ่นที่ 197 หลังจากนั้นจําเลยได้พักอยู่ที่ห้องพักพิเศษ ชั้นที่ 14 ตลอดมา และได้ความจากพันตํารวจเอกนายแพทย์ชนะว่า เรือนจําพิเศษกรุงเทพมหานครไม่เคยติดตามสอบถามอาการเจ็บป่วยของจําเลยจากพันตํารวจเอกนายแพทย์ชนะเพื่อนําตัวจําเลยกลับไปที่เรือนจําพิเศษกรุงเทพมหานคร 

@อ้างความเห็นแพทย์ขอรักษาตัวนอกเรือนจำเกิน 60 วัน เอื้อประโยชน์ให้พักชั้น 14 ต่อ

ต่อมาเมื่อจําเลยพักอยู่ที่โรงพยาบาลตํารวจครบ 60 วัน เรือนจําพิเศษกรุงเทพมหานครขอให้โรงพยาบาลตํารวจออกใบแสดงความเห็นแพทย์ และทางโรงพยาบาลตํารวจโดยพลตํารวจโทนายแพทย์ทวีศิลป์ได้ออกใบแสดงความเห็นแพทย์ฉบับ ลงวันที่ 18 ตุลาคม 2566 ให้เรือนจําพิเศษกรุงเทพมหานคร ตามเอกสารหมาย ศ.1 แฟ้มที่ 1 แผ่น 180 โดยใบแสดงความเห็นแพทย์ระบุว่า ต้องรับการผ่าตัดเร่งด่วนเพราะมีอาการปวดรุนแรง มือและแขนอ่อนแรง แต่กลับได้ความว่าการผ่าตัดดังกล่าวเป็นการผ่าตัดเอ็นหัวไหล่ขวาซึ่งฉีกขาดเพราะจําเลยประสบอุบัติเหตุขณะพักอยู่ที่โรงพยาบาลตํารวจ หาใช่สาเหตุการป่วยอันเป็นเหตุที่อ้างใช้ส่งตัวจําเลยมาที่โรงพยาบาลตํารวจไม่ทั้งการรักษาโดยการผ่าตัดดังกล่าวสามารถรักษาแบบผู้ป่วยนอกได้ และขณะออกใบแสดงความเห็นแพทย์ ฉบับลงวันที่ 18 ตุลาคม 2566 ยังไม่ถึงวันผ่าตัดเพราะได้ความว่ามีการผ่าตัดในวันที่ 23 ตุลาคม 2566 

ขณะที่ยังไม่ถึงวันผ่าตัดจึงส่งตัวจําเลยกลับไปคุมขังที่เรือนจําพิเศษกรุงเทพมหานครเพื่อรอการผ่าตัดได้ แต่นายนัสที่กลับใช้ใบแสดงความเห็นแพทย์ดังกล่าวเป็นหลักฐานประกอบเพื่อมีบันทึกข้อความด่วนที่สุดถึง อธิบดีกรมราชทัณฑ์ ขออนุญาตให้จําเลยรักษาตัวอยู่นอกเรือนจําเกินกว่า 60 วัน 

ตามบันทึกข้อความ ด่วนที่สุด ที่ ยธ 0768/ (ไม่ปรากฏเลขที่) ลงวันที่ 19 ตุลาคม 2566 เอกสารหมาย ศ.1 แฟ้มที่ 1 แผ่นที่ 183 และ นายชาญ วชิรเดช รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ รักษาราชการแทนอธิบดีกรมราชทัณฑ์ในขณะนั้น อนุญาตให้จําเลย รักษาตัวนอกเรือนจําเกินกว่า 60 วัน ตามบันทึกข้อความ ด่วนที่สุด ที่ ยธ 0705.4/35326 ลงวันที่ 20 ตุลาคม 2566 เอกสารหมาย ศ.1 แฟ้มที่ 1 แผ่นที่ 184 ทั้งที่ขณะนั้นจําเลยไม่มีความจําเป็นต้องพักรักษา อยู่ที่โรงพยาบาลตํารวจแล้ว 

หลังจากนั้นจําเลยก็พักอยู่ที่ห้องพักพิเศษ ชั้นที่ 14 อย่างต่อเนื่องตลอดมาจนครบ 120 วัน และได้ความจากพันตํารวจเอกนายแพทย์ชนะว่า ทางเรือนจําพิเศษกรุงเทพมหานครไม่เคยสอบถาม อาการของจําเลยแต่อย่างใด 

และต่อมาเรือนจําพิเศษกรุงเทพมหานครได้ขอให้โรงพยาบาลตํารวจออกใบแสดง ความเห็นแพทย์ และทางโรงพยาบาลตํารวจโดยพันตํารวจเอกนายแพทย์ชนะได้ออกใบแสดงความเห็นแพทย์ ฉบับลงวันที่ 21 ธันวาคม 2566 ตามเอกสารหมาย ศ.1 แฟ้มที่ 1 แผ่นที่ 190 

โดยระบุว่า มีข้อบ่งชี้ต้องรักษา สมองขาดเลือดและผ่าตัดรักษาภาวะกระดูกคอเสื่อม (Cervical spondylotic myeloraciculopathy) อยู่ระหว่าง ดําเนินการและวางแผนการผ่าตัดรักษา และพลตํารวจตรีนายแพทย์สามารถ ม่วงศิริ นายแพทย์ สบ 7 แพทย์ ผู้เชี่ยวชาญศัลยกรรมกระดูก โรงพยาบาลตํารวจ ได้ออกใบแสดงความเห็นฉบับลงวันที่ 21 ธันวาคม 2566 ตามเอกสารหมาย ศ.1 แฟ้มที่ 1 หน้า 191 โดยใบแสดงความเห็นแพทย์ระบุว่า ปรึกษาประสาทศัลยแพทย์ วางแผนผ่าตัดรักษากระดูกคอเสื่อมกดทับไขสันหลังและเส้นประสาท ซึ่งได้ความจากพันตํารวจเอกนายแพทย์ชนะและพลตํารวจตรีนายแพทย์สามารถว่า พยานทั้งสองออกใบแสดงความเห็นแพทย์เพียงระบุอาการป่วยของจําเลยที่จะทําการรักษา แต่ไม่ได้หมายความว่าออกใบแสดงความเห็นแพทย์เพื่อให้จําเลยพักอยู่ที่โรงพยาบาลตํารวจและต่อมาพลตํารวจตรีนายแพทย์สามารถได้ออกใบแสดงความเห็นแพทย์อีกฉบับลงวันที่ 5 มกราคม 2567 โดยระบุว่า วางแผนผ่าตัดแก้กระดูกคอกดทับไขสันหลังและเส้นประสาท แต่กลับได้ความจากพลตํารวจโท นายแพทย์โสภณรัชต์ว่าแพทย์เคยเสนอจําเลยให้ผ่าตัดรักษากระดูกคอกดทับเส้นประสาทภายหลังจากจําเลย อยู่ที่โรงพยาบาลตํารวจ แต่จําเลยปฏิเสธการผ่าตัด 

การที่พลตํารวจตรีนายแพทย์สามารถระบุในใบรับรองแพทย์ ฉบับลงวันที่ 5 มกราคม 2567 ว่า ต้องวางแผนผ่าตัดแก้กระดูกคอทับไขสันหลังและเส้นประสาท จึงขัดแย้งกับ ข้อเท็จจริงที่ได้ความจากพลตํารวจโทนายแพทย์โสภณรัชต์ ทั้งได้ความว่าในที่สุดก็ไม่มีการผ่าตัดกระดูกคอกดทับไขสันหลังและเส้นประสาทของจําเลยแต่อย่างใดจนกระทั่งจําเลยออกจากโรงพยาบาลตํารวจ

@ทักษิณรู้ว่าตัวเองไม่ได้ป่วยวิกฤต แต่อยู่ชั้น 14 รพ.ตำรวจนาน 5 เดือน

แต่นายนัสที่กลับใช้ ใบแสดงความเห็นแพทย์ฉบับลงวันที่ 21 ธันวาคม 2566 เป็นหลักฐานประกอบเพื่อมีบันทึกข้อความด่วนที่สุด ถึงอธิบดีกรมราชทัณฑ์ ขออนุญาตให้จําเลยรักษาตัวนอกเรือนจําเกินกว่า 120 วัน ตามบันทึกข้อความ ด่วนที่สุด ที่ ยธ 0768/414 ลงวันที่ 21 ธันวาคม 2566 เอกสารหมาย ศ.1) แฟ้มที่ 1 แผ่นที่ 189 และ นายสหการณ์ เพ็ชรนรินทร์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ อนุญาตให้จําเลยรักษาตัวนอกเรือนจําเกินกว่า 120 วัน ตามบันทึกข้อความ ด่วนที่สุด ที่ ยธ 0701/ลับ/627 ลงวันที่ 4 มกราคม 2567 เอกสารหมาย ศ.1 แฟ้มที่ 1 แผ่นที่ 192 หลังจากนั้นจําเลยก็พักอยู่ที่ห้องพักพิเศษ ชั้นที่ 14 ตลอดมาจนกระทั่งจําเลยได้รับการพักการ ลงโทษกรณีมีเหตุพิเศษเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2567 

แล้วจําเลยออกจากโรงพยาบาลตํารวจในวันเดียวกันกับ ที่ได้รับการพักการลงโทษ นับว่าจําเลยได้มาพักอยู่ที่ห้องพักพิเศษ ชั้นที่ 14 ติดต่อกันตั้งแต่วันที่ 23 สิงหาคม 2566 ถึงวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2567 เป็นเวลานานเกือบ 5 เดือน โดยไม่ได้กลับไปถูกคุมขังที่เรือนจําพิเศษ กรุงเทพมหานครจนกระทั่งจําเลยได้รับการพักการลงโทษ 

ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า การบังคับโทษจําเลยไม่เป็นไป ตามหมายจําคุกเมื่อคดีถึงที่สุดจึงเป็นการบังคับโทษที่มิชอบด้วยกฎหมาย และตามพฤติการณ์ดังกล่าวมาข้างต้น บ่งชี้ให้เห็นว่า จําเลยทราบข้อเท็จจริงหรือรับรู้เหตุการณ์ได้ว่าตนไม่ได้ป่วยวิกฤติฉุกเฉิน แต่จําเลยมีเพียงโรค ประจําตัวซึ่งเป็นโรคเรื้อรังที่รักษาตัวแบบผู้ป่วยนอกได้โดยไม่จําเป็นต้องนอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลตํารวจ

เพราะเป็นข้อมูลเกี่ยวกับสุขภาพและสภาวะร่างกายของจําเลยเอง นอกจากนี้ยังได้ความว่าจําเลยเข้ามามีส่วนตัดสินใจในกระบวนการรักษาของแพทย์ โดยปฏิเสธการผ่าตัดรักษาโรคหัวใจและโรคกระดูกคอกดทับไขสันหลังและเส้นประสาท แต่ให้แพทย์รักษาโดยการรับประทานยาตามอาการและเลือกรับการผ่าตัดนิ้วล็อกและเอ็นหัวไหล่ขวาซึ่งไม่ใช่เรื่องเร่งด่วนและเป็นผลทําให้การรักษาตัวจําเลยในโรงพยาบาลตํารวจขยายระยะเวลาออกไป 

จําเลยจึงได้รับประโยชน์จากการพักอยู่ที่โรงพยาบาลตํารวจโดยไม่ต้องกลับไปถูกคุมขังที่เรือนจําพิเศษกรุงเทพมหานครจนได้รับการปล่อยตัว และไม่อาจอ้างว่าเป็นการดําเนินการของแพทย์และเจ้าหน้าที่ มิได้เกิดจากการกระทําของจําเลยเพื่อถือเอาประโยชน์จากระยะเวลาที่พักอยู่ที่โรงพยาบาลตํารวจ มาหักวันคุมขังโทษตามคําพิพากษา

@ข้ออ้างทักษิณทุกข้อฟังไม่ขึ้น ให้จำคุก1 ปี

ส่วนที่จําเลยทําคําชี้แจงโต้แย้งในทํานองว่า มีการบังคับโทษตาม หมายจําคุกเมื่อคดีถึงที่สุดครบถ้วนแล้ว โดยจําเลยได้รับพระราชทานอภัยลดโทษเป็นรายบุคคล ลดโทษ ให้เหลือโทษจําคุก 1 ปี และจําเลยได้รับการพักการลงโทษกรณีมีเหตุพิเศษ เป็นผู้ได้รับการพักการลงโทษ โดยมีเงื่อนไขในการคุมประพฤติ ต่อมาได้รับพระราชทานอภัยโทษเป็นการทั่วไป จําเลยได้รับการปล่อยตัวพ้นโทษแล้ว และจําเลยยื่นคําร้องฉบับลงวันที่ 28 สิงหาคม 2568 ขอให้ศาลวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า จําเลยพ้นโทษจําคุก และมีการบังคับโทษตามหมายจําคุกเมื่อคดีถึงที่สุดแล้ว ถือว่าจําเลยได้รับโทษจําคุกครบถ้วนแล้ว นั้น

เห็นว่า เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2566 มีพระบรมราชโองการพระราชทานพระมหากรุณาอภัย ลดโทษให้จําเลยเหลือโทษจําคุกต่อไปอีก 1 ปี ตามกําหนดโทษตามคําพิพากษา ดังนี้ ย่อมมีผลทําให้จําเลยได้รับ การลดโทษและต้องรับโทษจําคุกตามคําพิพากษาต่อไปอีก 1 ปี นับแต่วันที่ 31 สิงหาคม 2566 แต่หามีผล ทําให้การบังคับโทษจําคุกจําเลยสิ้นสุดลงไม่ 

เมื่อการบังคับโทษจําเลยเป็นไปโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายดังที่ได้วินิจฉัยมาข้างต้น กระบวนการบังคับโทษรวมทั้งการพักการลงโทษจําเลยจึงไม่มีผลตามกฎหมาย และไม่อาจ นําเอาระยะเวลาที่พักอยู่ที่โรงพยาบาลตํารวจมาหักเป็นวันคุมขังได้ จําเลยจึงต้องรับโทษจําคุกอีก 1 ปี ตามพระบรมราชโองการ 

ส่วนคําชี้แจงของจําเลยในปัญหาอื่น ไม่จําต้องวินิจฉัยเพราะเป็นข้อปลีกย่อย ไม่ทําให้ผลแห่งคดีเปลี่ยนแปลงไป คําชี้แจงของจําเลยทุกข้อฟังไม่ขึ้น

จากข้อเท็จจริงและเหตุผลทั้งหมดดังวินิจฉัยมารับฟังได้ว่า การส่งตัวจําเลยไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลตํารวจเป็นการไม่ชอบ และการบังคับโทษจําเลยตามหมายจําคุกเมื่อคดีถึงที่สุดไม่เป็นไปตาม วัตถุประสงค์และเงื่อนไขของกฎหมายตามความในพระราชบัญญัติราชทัณฑ์ พ.ศ. 2560 มาตรา 55 และ กฎกระทรวงการส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจํา พ.ศ. 2563 เป็นการบังคับโทษที่มิชอบด้วยกฎหมาย 

จําเลยจึงไม่อาจถือเอาช่วงระยะเวลาที่จําเลยอยู่ในโรงพยาบาลตํารวจมาอ้างว่าตนได้รับโทษจําคุกแล้ว นอกจากนี้กรมราชทัณฑ์ก็ไม่อาจถือเอาระยะเวลาดังกล่าวมาใช้เป็นหลักเกณฑ์ประกอบการพิจารณาในการพักการลงโทษให้จําเลยได้ จึงต้องบังคับโทษจําคุกแก่จําเลยมีกําหนด 1 ปี

จึงมีคําสั่งให้บังคับโทษจําคุกแก่จําเลย โดยให้จําคุก 1 ปี ตามพระบรมราชโองการ

****************

อนึ่งเกี่ยวกับคดีนี้ สำนักข่าวอิศรา รายงานไปแล้วว่า  สำหรับโทษจำคุก นายทักษิณ ชินวัตร เดิมที่มีกำหนดระยะเวลา 8 ปี แต่ได้รับการพระราชทานอภัยลดโทษเหลือ 1 ปี เป็นผลมาจากคำพิพากษา ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีคำพิพากษา จำนวน 3 คดี คือ

1. คดีที่ 1. คดีหมายเลขแดง ที่ อม. 4/2551 ความผิดต่อหน้าที่ราชการ กำหนดโทษจำคุก 3 ปี (คดีให้ธนาคารเอ็กซิมแบงก์ปล่อยกู้เงินแก่เมียนมา 4 พันล้านบาท )

2. คดีที่ 2. คดีหมายเลขแดง ที่ อม. 10/2552 ความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ความผิดต่อพระราชบัญญัติ ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ กำหนดโทษจำคุก 2 ปี (คดีทุจริตโครงการหวยบนดินซึ่งคดีที่ 1 กับคดีที่ 2 นับโทษซ้อนกันรวมกำหนดโทษจำคุก 3 ปี

และคดีที่ 3. คดีหมายเลขแดง ที่ อม. 5/2551 ความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ การขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนบุคคลและประโยชน์ส่วนรวมกำหนดโทษจำคุก 5 ปี (คดีให้นอมินีถือหุ้นชินคอร์ปฯ’-เข้าไปมีส่วนได้เสียในกิจการโทรคมนาคม )

แต่หลังถูกกำหนดโทษดังกล่าว มีการส่งตัวนายทักษิณ ชินวัตร ไปรักษาตัวนอกเรือนจำที่โรงพยาบาลตำรวจ ชั้น 14 ตลอดระยะเวลาที่ถูกลงโทษจำคุก 181 วัน ทำให้ถูกยื่นเรื่องร้องเรียนว่า มีการเอื้อประโยชน์ให้กับนายทักษิณ ชินวัตร โดยอาศัยช่องทางตามกฎกระทรวงฉบับนี้หลีกเลี่ยงอำนาจตุลาการ เพื่อให้นายทักษิณ ชินวัตร ไม่ต้องถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำ โดยศาลฯ เริ่มไต่สวนคดีมาตั้งแต่วันที่ 13 มิ.ย. 2568 จนกระทั่งนัดฟังคำตัดสินวันที่ 9 ก.ย.2568 และมีคำสั่งให้ นายทักษิณ ชินวัตร กลับเข้าไปรับโทษในเรือนจำให้ครบตามกำหนดเป็นเวลา 1 ปี ตามพระบรมราชโองการ ตามที่ปรากฏเป็นข่าวไปแล้วก่อนหน้านี้