“…เห็นว่าเป็น นายฮวดที่ติดต่อเข้ามา จึงรับโทรศัพท์ โดยไม่ทราบมาก่อนว่าจะต้องพูดคุยกับสมเด็จฮุน เซน แต่เมื่อตนได้รับโทรศัพท์นายฮวดแล้ว นายฮวดได้แจ้งว่าจะเชิญสมเด็จฮุน เซน เข้ามาร่วมสนทนาด้วยในลักษณะการสนทนาทางโทรศัพท์ร่วม (Conference Call) ตนจึงได้ตัดสินใจตอบรับที่จะสนทนาทางโทรศัพท์ร่วมดังกล่าวแม้จะอยู่เพียงลำพัง เห็นว่าเป็นโอกาสอันดีที่จะได้พูดคุยกันเพื่อโน้มน้าวสมเด็จฮุน เซน ให้ช่วยเหลือในการร้องขอหรือประสานกับผู้นำรัฐบาลและกองทัพกัมพูชาให้หันหน้าเข้าสู่การเจรจาตามแบบพิธีการระหว่างประเทศเพื่อคลี่คลายสถานการณ์ชายแดนไทย – กัมพูชา…”
กรณี ศาลรัฐธรรมนูญ มีกำหนดนัดไต่สวนพยานบุคคลจำนวน 2 ปาก คือ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ผู้ถูกร้อง และนายฉัตรชัย บางชวด เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ในวันที่ 21 สิงหาคม 2568 เวลา 10.30 น. ในคดีคลิปเสียงการสนทนาระหว่างน.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี (ผู้ถูกร้อง) กับสมเด็จ ฮุน เซน ประธานวุฒิสภาแห่งกัมพูชา
หลังภายประธานวุฒิสภาส่งคำร้องขอให้ศาลรัฐธธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคสาม ประกอบมาตรา 82 ว่า ความเป็นรัฐมนตรีของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160 (4) และ (5) หรือไม่
พร้อมนัดแถลงด้วยวาจาปรึกษาหารือ และลงมติ ในวันที่ 29 สิงหาคม 2568 เวลา 09.30 น. นัดฟังคำวินิจฉัย เวลา 15.00 น. เป็นต้นไปนั้น
ก่อนหน้านี้ สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) นำข้อมูลคำชี้แจงของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ที่ยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญ มาเสนอให้สาธารณชนได้รับทราบไปแล้ว 2 ส่วนสำคัญ คือ
(1.) การยืนยันว่า การกระทำของตนเองตามข้อกล่าวหาของผู้ร้อง ไม่เป็นการฝ่าฝืน หรือไม่ปฏิบัติตามประมวลจริยธรรมของข้าราชการการการเมือง พ.ศ. 2564 แต่อย่างใด อีกทั้งการกระทำของตนเองก็ไม่ได้ก่อให้เกิดความเสื่อมเสียต่อเกียรติภูมิของตำแหน่งนายกรัฐมนตรี หรือบั่นทอนความเชื่อมั่นของประชาชนในความสุจริตและเหมาะสมในการดำรงตำแหน่งแต่ประการใด พร้อมขอให้ศาลฯ ออกคำสั่งยกเลิกการให้หยุดปฏิบัติหน้าที่นายกฯ ด้วย
นอกจากนี้ ยังยื่นรายชื่อพยานมา 5 ปาก ประกอบด้วย 1. นายฉัตรชัย บางชวด ตำแหน่งเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ 2. นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ตำแหน่งปลัดกระทรวงมหาดไทย 3. พลเอก ภุชงค์ รัตนวรรณ ข้าราชการบำนาญในฐานะเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านกัมพูชา 4. พลโท พุฒิพงษ์ ชีพสมุทร ตำแหน่งรองเจ้ากรมพระธรรมนูญทหาร และ 5. นายธนาธิป อุปัติศฤงค์ อดีตทูตไทยประจำประเทศญี่ปุ่น อดีตทูตไทยประจำประเทศฟิลิปปินส์ และอดีตทูตไทยประจำประเทศรัสเซีย เพื่อให้ศาลฯ ได้รับทราบข้อเท็จจริงอย่างรอบด้าน โดยคำนึงถึงบริบททางภูมิรัฐศาสตร์และประวัติศาสตร์ความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชา ที่ดำรงอยู่ต่อเนื่องหลายรัฐบาล (ก่อนที่ศาลฯ จะนัดไต่สวนพยานบุคคลจำนวนแค่ 2 ปาก คือ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ผู้ถูกร้อง และนายฉัตรชัย บางชวด เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.))
2. ข้อเท็จจริงสำคัญของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหลายประเด็น อาทิ การใช้ถ้อยคำว่า “อยากได้อะไรก็ให้ท่านบอกมาได้เลยค่ะ เดี๋ยวจะจัดการให้” เป็นเพียงเจตนาที่ต้องการให้คู่เจรจาได้เสนอเงื่อนไขหรือความต้องการออกมาก่อน ซึ่งเป็นหลักการสำคัญของการเจรจาเชิงผลประโยชน์ (Principled Negotiation) โดยการใช้เทคนิคสำคัญ คือ การตั้งคำถามเพื่อค้นหาความต้องการที่แท้จริง (Interest-Based) ไม่ได้มีเจตนาที่จะดำเนินการตามเงื่อนไขที่เสนอมาทุกกรณีแต่อย่างใด
ส่วนถ้อยคำที่กล่าวถึงแม่ทัพภาคที่ 2 (พลโท บุญสิน พาดกลาง) ว่าเป็น “ฝั่งตรงข้าม” นั้น เป็นใช้เทคนิคการเจรจาที่แบ่งแยกปัญหาออกจากตัวบุคคล ไม่ได้เป็นการตำหนิติเตียนในทางลบหรือแสดงให้เห็นว่าแม่ทัพภาคที่ 2 เป็นฝ่ายตรงข้ามกับรัฐบาลไทยแต่อย่างใด
นอกจากนี้ ความตั้งใจเดียวของตนเองตลอดบทสนทนา เป็นเรื่องการรักษาผลประโยชน์ของชาติโดยไม่มีเจตนาจะได้มาซึ่งผลประโยชน์ส่วน เรียกร้องเอาผลประโยชน์ให้ตกเป็นของตนเองหรือครอบครัวแต่อย่างหนึ่งอย่างใดหรือได้ถือเอาประโยชน์ส่วนตนเหนือกว่าผลประโยชน์ของประเทศชาติ
“
CR: สำนักข่าวอิศรา