POLITICS: ’ธนาธร‘ ชี้ ถ้าทุกฝ่ายเชื่อมั่นในประชาธิปไตย การเมืองไม่ถึงทางตันแน่นอน มอง 20 ปีผ่านมา เปลี่ยนนายกฯ จากศาลรัฐธรรมนูญแล้ว 4 คน และเร็ว ๆ นี้อาจเพิ่มอีก 1 ชี้ ถ้าไม่แก้รัฐธรรมนูญ เศรษฐกิจก็ไปต่อไม่ได้ หวั่นไทย ‘ตกขบวน’ โลกที่เปลี่ยนแปลงเร็ว
วันนี้ (18 ก.ค. 68) นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ได้แสดงวิสัยทัศน์ในหัวข้อ “ผ่าทางตันประเทศไทย” ระหว่างการร่วมเสวนาในรายการ “Exclusive Talk 55 ปี Nation ผ่าทางตันประเทศไทย” ณ โรงแรมอีสติน แกรนด์ พญาไท โดยยืนยันว่าการเมืองไทยจะไม่มีวันถึงทางตัน หากทุกฝ่ายยังเชื่อมั่นในระบอบประชาธิปไตย แต่มองว่าขณะนี้มีความพยายามจากหลายฝ่ายที่ต้องการผลักดันให้การเมืองไปสู่ทางตัน เพื่อเปิดโอกาสให้อำนาจนอกระบบเข้ามาแทรกแซง
นายธนาธรได้สะท้อนภาพความไร้เสถียรภาพทางการเมืองตลอด 20 ปีที่ผ่านมา นับตั้งแต่การชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย โดยไล่เรียงสถิติว่า ประเทศไทยมีนายกรัฐมนตรีมาแล้ว 9 คน, รัฐธรรมนูญ 3 ฉบับ, การชุมนุมใหญ่ 4 ครั้ง, รัฐประหาร 2 ครั้ง, การยุบพรรคการเมืองหลักไม่น้อยกว่า 9 พรรค และการเลือกตั้งที่เป็นโมฆะ 2 ครั้ง
“มีนายกรัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่งโดยศาลรัฐธรรมนูญ 4 คน หรือเร็วๆ นี้ อาจจะมีเพิ่มอีกคนด้วย อาจจะเป็น 5 คนด้วยซ้ำไป…สังคมแบบนี้เป็นสังคมที่อยากส่งต่อให้ลูกหลานหรือไม่ ผมคิดว่าไม่ใช่” นายธนาธร กล่าว
ประธานคณะก้าวหน้าชี้ว่า ปัญหาที่สำคัญที่สุดคือการที่สังคมไทยยังไม่มีข้อตกลงร่วมกันว่าจะแบ่งปันและตรวจสอบถ่วงดุลอำนาจกันอย่างไร ซึ่งสะท้อนผ่านการมีรัฐธรรมนูญถึง 3 ฉบับในรอบ 20 ปี ดังนั้น ทางออกเดียวคือการออกแบบกติกาสูงสุดร่วมกันใหม่ ซึ่งก็คือการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
“20 ปีที่ผ่านมา บอกแล้วว่าแก้ปัญหาเศรษฐกิจโดยไม่แก้ปัญหาทางการเมือง เป็นไปไม่ได้ ไม่มีทางที่ภาวะการเมืองแบบนี้…ใครมาบริหารก็เหนื่อย 20 ปีที่ผ่านมา มันบอกเราว่าการทำรัฐประหาร การใช้อำนาจที่ไม่เป็นประชาธิปไตย มันพาประเทศไปข้างหน้าไม่ได้”
นายธนาธรกล่าวต่อไปว่า การเปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อตอบสนองต่อความท้าทายของโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทั้งเรื่องปัญญาประดิษฐ์ (AI) หรือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) หากโครงสร้างทางการเมืองและการจัดสรรงบประมาณยังเป็นแบบเดิม ประเทศไทยจะไม่สามารถปรับตัวได้ทันและจะ “ตกขบวน” ในที่สุด
ในช่วงท้าย นายธนาธรได้กล่าวถึงการทำงานการเมืองตลอด 7 ปีที่ผ่านมาว่าเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องและคุ้มค่า เพราะวาระที่เคยถูกมองว่าก้าวหน้าเกินไปในวันนั้น ได้กลายเป็นเรื่องปกติที่สังคมถกเถียงกันได้ในวันนี้ พร้อมแสดงความกังวลว่าหากการเมืองยังไม่ปกติ คนที่มีความรู้ความสามารถก็จะไม่กล้าเข้ามาทำงาน ซึ่งจะเป็นการสูญเสียโอกาสในการพัฒนาประเทศ
สำหรับบรรยากาศภายในงาน มีผู้ทรงคุณวุฒิจากหลากหลายวงการเข้าร่วมรับฟัง อาทิ ภาคธุรกิจ นักวิชาการ รวมถึงนักการเมืองคนสำคัญ เช่น นายปิยบุตร แสงกนกกุล, น.ส.พรรณิการ์ วานิช, นายปดิพัทธ์ สันติภาดา, นายชัยธวัช ตุลาธน และนายพิจารณ์ เชาวพัฒนวงศ์