นายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล แกนนำพรรคชาติไทยพัฒนา กล่าวถึงการพิจารณาแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีว่า ถือเป็นเรื่องใหญ่ยิ่งกว่ากติกา เพราะเป็นแผนอนาคตของประเทศ 20 ปีที่จะบอกว่า เราต้องเดินเรื่องต่างๆไปทางไหนบ้าง อีกทั้งต้องไม่เขียนให้ผูกมันตัวเอง แผนต่างๆต้องมีความคล่องตัวสูง เพราะเทคโนโลยีสมัยใหม่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว
จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องให้ทุกภาคส่วนเข้ามามีส่วนร่วม ระดมผู้รอบรู้การเปลี่ยนแปลงนี้เข้ามาช่วยกันคิด โดยเฉพาะคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติที่จะต้องมีที่มาหลากหลาย ทั้งจากภาคประชาชน ภาคพลเมืองรวมไปถึงผู้ทรงคุณวุฒิด้านต่างๆเข้ามาช่วยกันคิด แต่คณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติชุดนี้กลับไม่ทำให้คนเชื่อมั่น เพราะมีแต่คนที่มาจากคสช. จากกองทัพ สนช. หรือแม้แต่สปท.เข้ามามีอำนาจกำหนดแผนให้รัฐบาลต่างๆเดินตาม หากไม่ทำตามยังมีบทบัญญัติลงโทษอีก นี่จึงเกิดเป็นคำครหาว่า นี่เป็นยุทธศาสตร์ชาติ หรือยุทธศาสตร์คสช.กันแน่
“ผมไม่เชื่อมั่นใจกรรมการยุทธศาสตร์ชุดที่มีอยู่ว่า จะรอบรู้ในทุกเรื่องลึกขนาดลงรายละเอียดได้ อย่าง กรรมการยุทธศาสตร์ชาติ ด้านเศรษฐกิจบางคน ผมเชื่อว่า แต่ละคนประกอบธุรกิจมารู้เรื่องเศรษฐกิจดี แต่เขาเคยจะรู้บ้างไหมว่า รากหญ้าเป็นอย่างไรบ้าง ไม่ใช้หยิบตัวเลขจีดีพีที่เติบโตแต่เฉพาะคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งมาเป็นตัวชี้วัดการเติบโตในภาพร่วมของประเทศ วันนี้ลองเอามือล้วงลงไปในกระเป๋าชาวบ้านดูว่า เงินเขามีหรือไม่ เพราะถ้าดูจากหนี้ภาคครัวเรือนที่มีกว่า 2 แสนกว่าล้านบาท แล้วเศรษฐกิจจะโต 4.8 ได้อย่างไร” นายสมศักดิ์ กล่าว
นายสมศักดิ์ กล่าวถึงกรณี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ระบุว่า จะปลดล็อกทันทีหลังร่างพ.ร.ป.ที่เกี่ยวกับเลือกตั้งที่เหลืออีก 2 ฉบับมีผลบังคับใช้ว่า ตนแปลกใจว่า ทำไมถึงจะต้องรอเพราะรัฐธรรมนูญก็ประกาศใช้แล้ว พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560 ก็ประกาศใช้แล้ว เหลือแค่ร่างพ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. กับร่างพ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มาซึ่ง ส.ว.เท่านั้น แต่กลับเอา มาเป็นตัวประกันอีก ขณะนี้สังคมสับสนไม่รู้ว่าระหว่างรัฐธรรมนูญกับมาตรา 44 สิ่งไหนใหญ่กว่ากัน เพราะวันนี้กลายเป็นว่า รัฐธรรมนูญไม่มีความหมายเลยใช้แต่มาตรา 44 เคยคิดถึงหรือเกรงใจประชาชนที่ต้องออกมาลงประชามติเพื่อให้รัฐธรรมนูญฉบับนี้ผ่านไปบ้างหรือไม่
สำนักข่าววิหคนิวส์