นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวถึงกรณีรัฐบาลนำงบประมาณปี 2562วงเงิน 3 ล้านล้านบาทเข้าสู่สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ซึ่งปรากฏว่า งบประมาณทางความมั่นคงเพิ่มขึ้นเป็น 329.2 แสนล้านบาท หรือ เพิ่มขึ้น 20.14 เปอร์เซ็นต์ ในขณะที่งบประมาณเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันกลับถูกลดลงเหลือ 406.5 แสนล้านบาท หรือ ลดลง 14.7 เปอร์เซ็นต์ อีกทั้ง งบพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ และ งบการจัดการน้ำและคุณภาพชีวิตก็ลดลง ซึ่งน่าจะเป็นการจัดงบประมาณที่ไม่ได้คำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของประเทศ แต่กลับไปคำนึงถึงประโยชน์ด้านอื่น แม้กระทั่ง สื่อต่างประเทศยังวิจารณ์ว่า การเพิ่มงบกลาโหมเป็นการทิ้งทวนก่อนการเลือกตั้ง
ข้อมูลย้อนหลัง พบว่า ตั้งแต่มีการปฏิวัติในปี 2549 จนถึง ปัจจุบัน งบกระทรวงกลาโหม เพิ่มสูงขึ้น3 เท่า คือเพิ่มจาก 85,936 ล้านบาทในปี 2549 มาเป็น 222,437 ล้านบาทในปี 2561 และในปี 2562 นายกฯ บอกงบความมั่นคงเพิ่มเป็น 3.3 แสนล้านบาท ในขณะที่กระทรวงอื่นที่สำคัญๆเพิ่มน้อยกว่ามาก ยิ่งช่วงที่มีการปฏิวัติ จะเห็นว่า งบกระทรวงกลาโหมยิ่งเพิ่มขึ้น เป็นที่ทราบกันดีว่า งบกระทรวงกลาโหมแม้จะมีความสำคัญต่อการป้องกันประเทศแต่มีผลทางเศรษฐกิจน้อยมากหรือไม่มีเลย
“นี่ก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ 10 กว่าปีที่ผ่านมาการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยต่ำมากโตเฉลี่ยเพียงประมาณ 3 เปอร์เซ็นต์ ต่อปีเท่านั้น เพราะการจัดสรรงบไม่มีประสิทธิภาพ ทั้งรัฐบาลจากรัฐประหาร และ รัฐบาลจากการเลือกตั้ง ก็พยายามเอาใจทหาร ไม่กล้าลดงบประมาณ หรือ หยุดการเพิ่มงบทหาร ในขณะที่ความจำเป็นในการต่อสู้กับศัตรูของประเทศมีน้อยลง”
ถ้าประเทศไทยต้องการจะพัฒนาประเทศ งบกระทรวงกลาโหมจะต้องถูกตัดเพื่อนำมาใช้จ่ายในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญมากกว่า และ พรรคเพื่อไทยเห็นว่า ในอนาคตการรื้อโครงสร้างงบประมาณเดิมทั้งหมด เพื่อจัดสรรงบประมาณใหม่ โดยเรียงลำดับความสำคัญโดยคำนึงถึงประโยชน์ของประเทศ การพัฒนาความสามารถแข่งขันของประเทศ และการเสริมสร้างการกินดีอยู่ดีให้กับประชาชน จะเป็นนโยบายหลักของพรรคเพื่อไทย เพื่อประโยชน์อย่างแท้จริงของประชาชน
สำนักข่าววิหคนิวส์