ทันทีที่ ดร.มหาธีร์ เข้ารับตำแหน่ง นายกฯคนใหม่ ก็ได้แถลงเมื่อวันพฤหัสบดีที่แล้วว่า มาเลเซียจะทบทวนสัญญาข้อตกลงต่างๆที่รัฐบาลราซัคทำไว้กับจีน ส่วนตัวเขาไม่มีปัญหาอะไรกับ นโยบายหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง (Belt and Road Initiative : BRI) ของ ประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ผู้นำจีน ที่มีแผนลงทุนก่อสร้างโครงการขนาดใหญ่ครอบคลุมไปหลายประเทศในภูมิภาคนี้ “แต่ผมไม่อยากเห็นเรือรบชาติอื่นมาแล่นอยู่ในน่านน้ำใกล้กับมาเลเซียมากเกินไป เรือรบของชาติหนึ่ง จะดึงเรือรบของอีกชาติหนึ่งให้เข้ามาด้วย”
วิสัยทัศน์การเมืองระหว่างประเทศ ของ ดร.มหาธีร์ เหนือล้ำกว่าผู้นำในภูมิภาคแถบนี้อย่างเห็นได้ชัด การทำตัวเป็นผู้พึ่งพา กับ การวางตัวให้มีค่า แตกต่างกันชัดเจน
จากรายงานของ อีโคโนมิสต์ อินเทลลิเจนซ์ ยูนิต ประจำปี 2017 ระบุว่า มาเลเซียได้รับเม็ดเงินลงทุนจากจีนมากเป็นอันดับ 4 ของจีนที่ออกไปลงทุนทั่วโลก ทำให้จีนกับมาเลเซียมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันอย่างมาก จน ดร.มหาธีร์ กล่าวโจมตี นาจิบ ราซัค ในช่วงหาเสียงว่า รัฐบาลมาเลเซียกำลังขายตัวเองให้กับจีน
เช่น การลงทุนใน โครงการ Digital Free Trade Zone ของ แจ็ค หม่า แห่งอาลีบาบา ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนการ Belt and Road หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทางของผู้นำจีน รวมทั้ง โครงข่ายรถไฟฟ้าระยะทาง 688 กม. เชื่อมคาบสมุทรมาเลเซีย East Coast Rail Link มูลค่า 13,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งก่อสร้างโดยบริษัท ไชน่า คอมมูนิเคชั่น คอนสตรัคชั่น โดยให้ถือเป็นส่วนหนึ่งของแผนการ หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง
ดร.มหาธีร์ กล่าวในการหาเสียงว่า โครงการเหล่านี้ใช้งบประมาณอย่างสุรุ่ยสุร่าย จะต้องมีการทบทวน หากพบว่าไม่มีความจำเป็นสำหรับเศรษฐกิจ ก็จะสั่งระงับงานนี้ ดร.มหาธีร์ ยังไม่ได้พูดถึงอีกโครงการใน หนึ่งแถบ หนึ่งเส้นทาง ที่ รัฐบาลไทยลงทุนแทนจีนหลายแสนล้านบาท คือ รถไฟความเร็วสูง หนองคาย–กรุงเทพฯ–มาเลเซีย
ถ้าระงับคงจะสะเทือนทั้งจีนและไทยไม่น้อยเลยทีเดียว การ เขย่านโยบายเก่า ของ นายกฯมหาธีร์ ครั้งนี้ แม้จะทำเพื่อมาเลเซีย แต่ “สะเทือนถึงไทย”เป็นเรื่องที่ ผู้นำไทย ต้องไปทบทวนคิดใหม่บ้างเหมือนกันนะ.
สำนักข่าววิหคนิวส์