ข่าวประจำวัน » #กม.ที่มาสว.ฉลุยเละ สนช.รื้อทิ้งระบบเลือกแบบไขว้-หั่นเหลือแค่10กลุ่มอาชีพ

#กม.ที่มาสว.ฉลุยเละ สนช.รื้อทิ้งระบบเลือกแบบไขว้-หั่นเหลือแค่10กลุ่มอาชีพ

26 January 2018
331   0

มติสนช.ผ่านฉลุยกม.ที่มาส.ว.ให้มีผลบังคับใช้ทันทีหลังประกาศในราชกิจจานุเบกษา แต่รื้อหลักการหักหน้ากรธ.ซะเละ ตัดทิ้งระบบเลือกแบบไขว้มาเป็นจิ้มกันเองภายในกลุ่มแทน พร้อมปรับลดจำนวนกลุ่มวิชาชีพหั่นเหลือแค่10กลุ่ม ปรับช่องทางสมัครได้ 2 ทาง”สมัครเอง-องค์กรส่งเข้าประกวด”

แนวหน้า-26 ม.ค.61 ที่รัฐสภา ในการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) มี นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธาน สนช.เป็นประธานการประชุม เพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยการได้มาซึ่งวุฒิสภา (ส.ว.) ในวาระ 2 และ 3 ที่คณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญฯ พิจารณาเสร็จแล้ว โดยมีจำนวน 92 มาตรา

จากนั้นเป็นการพิจารณาในวาระ 2 เรียงมาตรา โดยก่อนเข้าสู่การพิจารณา นายสมชาย แสวงการ สมาชิก สนช.เสนอว่าในเมื่อร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.ที่ผ่านพิจารณาของ สนช.ไปแล้ว ในมาตรา 2 มีการปรับแก้ ขยายเวลาการบังคับใช้กฎหมายออกไป 90 วัน ดังนั้น ร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ก็ควรจะปรับแก้ให้สอดคล้องกันหรือไม่

ต่อมาได้พิจารณามาตรา 11 โดยที่ประชุมมีมติเสียงข้างมาก 166 ต่อ 35 คะแนน เห็นชอบให้วุฒิสภามาจากการเลือกกันเองของบุคคลที่หลากหลายของสังคมในแต่ละกลุ่มจำนวน 10 กลุ่มดังนี้

กลุ่มที่ 1 การบริหารราชการแผ่นดินและความมั่นคง ได้แก่ ผู้เคยเป็นข้าราชการ เจ้าหน้าที่ของรัฐ หรืออื่นๆ ในทำนองเดียวกัน

กลุ่มที่ 2 กฎหมายและกระบวนการยุติธรรม ได้แก่ ผู้เป็นหรือเคยเป็นผู้พิพากษา อัยการ ตำรวจ ผู้ประกอบวิชาชีพด้านกฎหมาย หรืออื่นๆ ในทำนองเดียวกัน

กลุ่มที่ 3 การศึกษา ได้แก่ ผู้เป็นหรือเคยเป็นครู อาจารย์ นักวิจัย ผู้บริหารสถานการศึกษา บุคคลากรทางการศึกษา และการสาธารณสุข ได้แก่ ผู้เป็นหรือเคยเป็นแพทย์ทุกประเภท เทคนิคการแพทย์สาธารณสุข พยาบาล เภสัชกร หรืออื่นๆ ในทำนองเดียวกัน

กลุ่มที่ 4 อาชีพทำนา ปลูกพืชล้มลุก ทำสวน ป่าไม้ ปศุสัตว์ ประมง หรืออื่นๆ ในทำนองเดียวกัน

กลุ่มที่ 5 พนักงาน ลูกจ้าง ซึ่งไม่ใช่ส่วนราชการหรือหน่วยงานรัฐ ผู้ใช้แรงงาน ผู้ประกอบวิชาชีพ ผู้ประกอบวิชาชีพอิสระ หรืออื่นๆ ในทำนองเดียวกัน

กลุ่มที่ 6 ผู้ประกอบวิชาชีพด้านสิ่งแวดล้อม ผังเมือง อสังหาริมทรัพย์ สาธารณูปโภค ทรัพยากรธรรมชาติ พลังงาน วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี การสื่อสาร การพัฒนานวัตกรรม หรืออื่นๆ ในทำนองเดียวกัน

กลุ่มที่ 7 ผู้ประกอบกิจการขนาดกลางและย่อมตามกฎหมายว่าด้วยการนั้น และผู้ประกอบกิจการอื่นๆ ผู้ประกอบธุรกิจ หรืออาชีพด้านการท่องเที่ยว ได้แก่ ผู้ประกอบธุรกิจท่องเที่ยว มัคคุเทศก์ ผู้ประกอบกิจการหรือพนักงานโรงแรม ผู้ประกอบการอุตสาหกรรม หรืออื่นๆ ในทำนองเดียวกัน

กลุ่มที่ 8 สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการหรือทุพพลภาพ กลุ่มชาติพันธุ์ กลุ่มอัตลักษณ์

กลุ่มที่ 9 ศิลปวัฒนธรรม ดนตรี การแสดงและบันเทิง นักกีฬา สื่อสารมวลชน ผู้สร้างวรรณกรรม หรืออื่นๆ ในทำนองเดียวกัน และกลุ่มที่ 10 กลุ่มอื่นๆ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนลงมติชี้ขาดที่ประชุมมีการถกเถียงในมาตรา 11 อย่างดุเดือดนานถึง 3 ชั่วโมง โดยเฉพาะคณะกรรมาธิการวิสามัญฯในสัดส่วนของคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) นำโดย นายอุดม รัฐอมฤต อภิปรายไม่เห็นด้วยกับการแบ่งกลุ่มดังกล่าวว่าการที่ กรธ.แบ่งกลุ่มวิชาชีพออกเป็น 20 กลุ่ม เพราะต้องให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญที่มีเจตนารมณ์ที่ต้องการให้วุฒิสภาประกอบไปด้วยบุคคลที่หลากหลาย ประกอบกับมาจากการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนทั่วไป อีกทั้งหากไปรวมกลุ่มวิชาชีพเข้าด้วยกันจนทำให้มีจำนวนกลุ่มน้อย จะส่งผลให้วุฒิสภาขาดความหลากหลาย

“การกระจายออกเป็นหลายกลุ่มมีวัตถุประสงค์เพื่อแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของแต่ละภาคส่วน โดยเฉพาะกลุ่มสตรี ซึ่งเป็นเรื่องที่ประจักษ์ว่าโอกาสในทางการเมืองของผู้หญิงมีน้อย นอกจากนี้ กรธ.ได้คิดมาก่อนแล้วว่าการรวมกลุ่มเป็น 10 กลุ่ม จะทำให้โอกาสของการสมยอม หรือฮั้วของผู้สมัคร ส.ว.มีมากกว่าการกระจายออกมาเป็น 20 กลุ่ม แม้การกระจายกลุ่มจะป้องกันไม่ได้ 100% แต่หวังว่าคณะกรรมการการเลือกตั้งจะเป็นผู้เข้ามาดูแลต่อไป” นายอุดม กล่าว

ขณะที่ นายสมคิด เลิศไพฑูรย์ ประธานกรรมาธิการฯ อภิปรายแย้งว่า สาเหตุที่กำหนดไว้ 10 กลุ่ม มั่นใจว่ามีเหตุผล ถามว่าการแบ่งกลุ่มเป็น 20 กลุ่ม รอบคอบแล้วหรือไม่ ส่วนตัวคิดว่ายังไม่รอบคอบ เพราะมิเช่นนั้นคงไม่มีเสียงวิจารณ์ค่อนข้างมากของสนช.ในปัจจุบัน ทั้งนี้ การแบ่งกลุ่มเป็นจำนวนมากนั้นจะไม่สามารถหากลุ่มวิชาชีพทั้งหมดได้ในระดับอำเภอ ซึ่งเป็นปัญหาสำคัญอย่างหนึ่ง

นายสมคิด กล่าวว่า คณะกรรมาธิการวิสามัญฯคิดไปตามเหตุและผล การกำหนดให้เป็น 10 กลุ่ม น่าจะเป็นเรื่องดี ไม่ใช่ดีเพราะคำนวณคะแนนง่ายอย่างเดียว แต่การแบ่งเป็น 10 กลุ่ม ไม่ได้ตัดกลุ่มใดออกไปเลย เพราะทุกคนสามารถสมัครได้ตามกลุ่มจำนวน 10 กลุ่ม ได้อย่างแน่นอน

“ส่วนเรื่องการป้องกันการฮั้วได้หรือไม่นั้นคิดว่าทั้งหมดขึ้นอยู่กับจำนวนของผู้สมัคร เช่น ถ้าเป็นกลุ่มเล็กๆมีกลุ่มละ 10 คน เขาล็อคได้ 6 คน ก็ได้เสียงข้างมากแล้ว แต่ถ้าเป็นกลุ่มใหญ่ขึ้น มีคนสมัคร 30 คน จะได้เสียงข้างมากก็ต้องหาให้ได้ 16 คน เป็นต้น อย่างไรก็ตาม คณะกรรมาธิการวิสามัญฯ คิดว่าเรื่องนี้ไม่ได้เป็นเรื่องสำคัญ เพราะไม่ว่าจะแบ่งอย่างไรการฮั้วก็เกิดขึ้นได้ แต่การแบ่งออกเป็น 10 กลุ่มนี้ ได้ตั้งอยู่บนพื้นฐานเดิมของ กรธ.เป็นหลัก” นายสมคิด กล่าว

ต่อมาเวลา 13.00 น.ที่ประชุมเข้าสู่การพิจารณา มาตรา 15 ว่าด้วยวิธีการสมัคร ส.ว.เนื่องจาก นายสมชาย แสวงการ และ พล.อ.สิงห์ศึก สิงห์ไพร ขอแปรญัตติ ให้ผู้สมัครรับเลือกเป็น ส.ว.มี 2 ประเภท ได้แก่ 1.ผู้สมัครแบบอิสระ และ 2.ผู้สมัครซึ่งเป็นตัวแทนขององค์กร ทำให้ในเวลา 14.00 น.นายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย รองประธาน สนช.คนที่ 2 ซึ่งเป็นประธานการประชุมขณะนั้น สั่งพัก เพื่อให้ กมธ.และสมาชิก สนช.ที่สงวนคำแปรญัตติ ได้หารือกันนอกรอบในมาตรา ซึ่งเชื่อมโยงกับมาตรา 40 มาตรา 41 และมาตรา 42 เกี่ยวกับรูปแบบการเลือกไขว้ข้ามกลุ่ม ตามที่ กรธ.เสนอ แต่ กมธ.เสียงข้างมากปรับแก้ให้ใช้การเลือกกันเองภายในกลุ่ม ไม่เลือกไขว้ อีกทั้งเพื่อให้หารือข้อเสนอเพิ่มค่าสมัครจาก 2,500 บาท เป็น 5,000 บาท

ภายหลังหารือหนึ่งชั่วโมงเต็มได้เปิดประชุมอีกครั้ง นายสมคิด ในฐานะประธาน กมธ.แจ้งว่า ทาง กมธ.จะปรับแก้ให้มีวิธีการสมัคร ส.ว.2 วิธี ตามที่นายสมชาย ขอแปรญัตติไว้ คือ 1.สมัครด้วยตนเองโดยตรง และ 2.เสนอชื่อผ่านองค์กร

ด้าน นายอุดม รัฐอมฤต ในฐานะ กมธ.เสียงข้างน้อย ท้วงติงว่า ตนเป็นห่วงว่าการกำหนดดังกล่าวจะเกิดปัญหาว่าเป็นการเขียนกรอบนอกรัฐธรรมนูญ เพราะจะกลายเป็นว่าเรากำลังสร้างรูปแบบที่มาของ ส.ว.มาจาก 2 ประเภท

อย่างไรก็ตาม สมาชิก สนช.อาทิ นายมนุญช์ รัตนโกเมร , นายมณเฑียร บุญตัน , นายกล้านรงค์ จันทิก เป็นต้น ได้ท้วงติงในประเด็นดังกล่าวว่า การแก้ไขให้ผู้สมัครได้ 2 ช่องทางนั้น เป็นการอุดเรือกลางทะเล และเป็นอันตราย ถือว่าหันหัวเรือจากที่ กมธ.ไม่ได้คิดมาเลย ซึ่งอาจเกิดปัญหา ดังนั้น จึงขอให้แสดงความชัดเจนว่าการปรับแก้ไขดังกล่าวจะไม่มีปัญหา

นายสมคิด ชี้แจงว่า ไม่ได้เป็นการอุดเรือ หรือเป็นการแก้ไขแบบที่กมธ.ไม่รู้มาก่อน เพราะทาง กมธ.ก็ได้คิดมาก่อนหน้านี้แล้ว เนื่องนายสมชาย และ พล.อ.สิงห์ศึก ก็ได้แปรญัตติก่อนหน้านี้ในชั้น กมธ.แล้ว ดังนั้น จึงได้คิดรูปแบบมาบ้างแล้ว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากที่ประชุม สนช.อภิปรายร่างดังกล่าวในแต่ละมาตราจนถึงมาตราสุดท้ายคือมาตรา 92 แล้ว ซึ่งที่ประชุมจะต้องกลับไปพิจารณาในมาตราที่แขวนไว้คือ มาตรา 40 – 42 โดยนายพรเพชร ประธาน สนช.ทำหน้าที่ประธาน ในการประชุมในขณะนั้น ได้สั่งพักการประชุมในเวลา 18.30 น.เป็นเวลา 10 นาที เพื่อให้กรรมาธิการฯ ผู้แปรญัตติ และสมาชิก สนช.ไปร่วมหารือกันเพื่อหาข้อยุติในมาตราดังกล่าว

จากนั้นเวลา 18.55 น.ที่ประชุม สนช.ได้กลับมาประชุมอีกครั้งหลังจากที่มีการพักการประชุมเป็นครั้งที่ 3 โดย นายสมคิด เลิศไพรฑูรย์ ประธานกรรมาธิการฯ ชี้แจงว่า ได้ดำเนินการปรับปรุงมาตรา 40 – 42 ให้สอดคล้องกับข้ออภิปรายของสมาชิก สนช.เรียบร้อยแล้ว ส่วนระบบการเลือกให้เป็นไปตามที่กรรมาธิการฯ พิจารณา ส่วนมาตรา 91 แก้ไขโดยขอให้ คสช.เลือกผู้ที่ได้รับเลือกเป็น ส.ว.จาก 200 คน เหลือ 50 คน โดยไม่ระบุกลุ่ม

สำหรับกรณีที่มีสมาชิก สนช.เสนอในมาตรา 2 ให้แก้ไขการบังคับใช้ร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าว ให้สอดคล้องกับร่าง พ.ร.บ.ส.ส.ที่ขยายเวลาการบังคับใช้ 90 วันนั้น นายสมคิด ชี้แจงว่า ประเด็นนี้กรรมาธิการฯ ขอให้กฎหมายมีผลบังคับใช้หลังประกาศในราชกิจจานุเบกษาทันที

ภายหลังการอภิปรายเสร็จสิ้น ที่ประชุม สนช.จึงได้ลงมติเรียงรายมาตรา โดยในมาตรา 40 – 42 เกี่ยวกับรูปแบบการเลือกไขว้ข้ามกลุ่มตามที่กรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) เสนอ แต่กรรมาธิการเสียงข้างมากได้ปรับแก้ให้ใช้การเลือกกันเองภายในกลุ่ม ไม่ใช้การเลือกไขว้นั้น โดยมาตรา 40 ที่ประชุมลงมติเห็นชอบด้วยคะแนน 203 ต่อ 1 เสียง และงดออกเสียง 6 เสียง ส่วนมาตรา 41 ที่ประชุมลงมติเห็นชอบด้วยคะแนน 202 ต่อ 1 เสียง และงดออกเสียง 7 เสียง ขณะที่มาตรา 42 ที่ประชุมลงมติเห็นชอบด้วยคะแนน 203 ต่อ 1 เสียง และงดออกเสียง 7 เสียง

จนกระทั่งเวลาที่ประชุม สนช.ได้ลงมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งวุฒิสภา (ส.ว.) ในวาระ 3 ด้วยคะแนน 197 งดออกเสียง 7 คะแนน โดยหลังจากนี้ ทาง สนช.จะส่งร่าง พ.ร.ป.ดังกล่าว ไปให้ทางคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) และองค์กรอิสระที่เกี่ยวข้อง เพื่อพิจารณาว่าจะมีความเห็นแย้งหรือไม่ภายใน 10 วัน หากมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีข้อโต้แย้งก็จะเสนอให้ สนช.ตั้งคณะกรรมาธิการร่วม 3 ฝ่าย พิจารณาภายใน 15 วัน ก่อนส่งกลับเข้าสู่ที่ประชุม สนช.เพื่อพิจารณาอีกครั้ง

จากนั้น นายพีระศักดิ์ พอจิต รองประธาน สนช.ในฐานะประธานในที่ประชุม ได้สั่งปิดการประชุมในเวลา 20.15 น.

ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ก่อนหน้านี้ นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) เคยออกมากล่าวเตือน สนช.ที่เสนอให้ลดกลุ่มอาชีพวุฒิสภา (ส.ว.) จาก 20 กลุ่ม เหลือเพียง 5 – 10 กลุ่ม ในร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มาซึ่ง ส.ว.นั้นจะทำให้เกิดการฮั้ว หรือบล็อกโหวตได้ง่าย และเกิดการทุจริต และเสี่ยงต่อการขัดเจตนารมณ์รัฐธรรมนูญด้วย

สำนักข่าววิหคนิวส์