18 ตุลาคม 2568 – เวลา 12.00 น. ที่ ด้านหน้าเรือนจำกลางคลองเปรม ถนนงามวงศ์วาน เเขวงลาดยาว เขตจตุจักร กรุงเทพฯ ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศบริเวณด้านหน้าเรือนจำกลางคลองเปรม ซึ่งได้มีคนเสื้อแดงจากหลายจังหวัดทั่วประเทศ รวมตัวทำกิจกรรมด้านหน้าเรือนจำฯ เพื่อให้กำลังใจ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ปัจจุบันถูกคำสั่งศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง บังคับโทษ 1 ปี โดยมีกำหนดการกิจกรรมทานข้าวหน้าเรือนจำฯ นำโดยกลุ่ม กลุ่มเพื่อชาติเพื่อประชาธิปไตยและคนที่เรารักและศรัทธา (พปศ.) ซึ่งจะมีการรับประทานอาหารเย็นในเวลา 15.00 น. เมนูชื่อต้มแซ่บเขากระโดง ต้มโคล้งฮั้ว สว. นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรมปราศรัยขนาดเล็ก โดยนายจักรภพ เพ็ญแข อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นำทีมเสวนากับคนเสื้อแดง
โดย นายจักรภพ เดินทางมาพร้อมกับคู่สมรส สุไพรพล เพ็ญแข หรือป๊อบ ก่อนกล่าวปราศรัยว่า วันนี้ไม่ใช่การชุมนุมแต่เป็นการพบปะกัน ไม่ใช่การชุมนุม แต่เป็นการพบปะกันของคนที่รักนายทักษิณ ชินวัตร ตนมาให้กำลังใจท่าน ตนได้มีโอกาสรู้จักในฐานะที่ท่านเป็นนายกรัฐมนตรี และตอนนั้นตนก็เป็นโฆษกรัฐบาล ไม่เคยรู้จักโดยส่วนตัวมาก่อน แต่ท่านได้ให้ความไว้วางใจ ให้ความเมตตาในการที่เราจะเรียนรู้จากประสบการณ์จนทำหน้าที่ได้ดีขึ้นและได้ช่วยเหลือเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ ตามที่พี่น้องได้นำมาขึ้นป้ายไวนิลในวันนี้ ซึ่งก็เป็นผลงานในสมัยนั้น ซึ่งมีความมุ่งหมายจะให้คนรากหญ้าได้รับการมองเห็น เพราะสมัยก่อนคนจนไม่มีใครมองเห็น เหมือนกับเป็นผงที่กระจายตามบรรยากาศ ไปไหนก็ไม่มีใครเห็น คนจนแทบไม่มีโอกาส
แต่นายทักษิณได้เริ่มต้นทำให้สิ่งที่มันต่าง ช่องว่างได้หดแคบลง ตั้งแต่ยุคสมัยพรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน มาจนถึงพรรคเพื่อไทย แต่เวลามัน 20 ปี มันก็มีการกลั่นแกล้งทางการเมือง มีการยึดอำนาจ มีการใช้คดีความต่าง ๆ มีการรัฐประหารในกองทัพ มีการรัฐประหารต่อกฎหมาย ประเด็นคือจะอยู่รอดได้อย่างไร ฉะนั้น การประนีประนอมจึงมีความสำคัญ ถ้าเราไม่ประนีประนอมคงตายก่อนได้ทำงาน จึงมีบางระยะที่พี่น้องอาจไม่เห็นด้วยกับการกระทำของรัฐบาลเพื่อไทย แต่ก็เพื่อให้เราอยู่รอดได้มาเจอกันในทุกวันนี้
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าวันนี้นายทักษิณ จะอยู่ในเรือนจำฯ แต่ท่านพูดชัดเจนว่าท่านห่วงคนข้างนอก เพราะการเข้าเรือนจำครั้งนี้มันคือการทำให้การเมืองนั้นมีสมดุลขึ้น พูดง่าย ๆ คือ ทำให้สบายใจกันขึ้นว่าเราก็ยอมรับกฎเกณฑ์ที่ยัดให้กับเรา เป็นธรรมหรือไม่ ไม่เป็นไร มันสำคัญน้อยกว่าบ้านเมือง
ทั้งนี้ เรามาวันนี้เพื่อให้กำลังใจกับคนที่มีสัญลักษณ์เพื่อการต่อสู้ ย้ำว่า นายทักษิณไม่ใช่เทวดา ทำผิด ทำถูก ทำยอดเยี่ยมหรือล้มเหลว ผ่านมาเยอะเหมือนคนทั่วไป เหมือนที่ตอนนี้พรรคเพื่อไทยจะต้องรักษาจิตใจของสมาชิกตั้งแต่ต้นจนถึงปัจจุบัน ต้องไม่ไปหลงเลือกคนบางกลุ่ม บางเจน (Gen) บางอายุ บางคน เหล่านี้คือวิธีการทำลายพรรคที่ง่ายที่สุด แต่อย่าลืมว่านายทักษิณกำลังสละตัวเองอยู่ข้างในเพื่อจะได้ออกมาข้างนอกสานต่องานทางการเมือง เรื่องนี้ยังไม่ใช่จุดสิ้นสุด แต่การแสดงออกของท่านทักษิณในครั้งนี้จะได้น้ำใจกลับคืนมาจากฝ่ายอื่นหรือไม่ ถ้าต่างใจแคบใจดำ เห็นประชาชนเป็นศัตรู แบบนี้คงยากลำบาก นี่คือทางหนึ่งที่ท่านเสนอให้สังคมและโลกได้เห็น
นายจักรภพ กล่าวอีกว่า ส่วนภาพรวมการพบปะกันวันนี้ ด้วยความที่ตนเพิ่งมา แต่ก็เห็นว่าพี่น้องได้มาทำกิจกรรมกันนานหลายสัปดาห์แล้ว ตนได้แต่ทราบซึ้งกับสิ่งที่พี่น้องได้ทำ ตนก็คิดในตอนนั้นว่าการมา จะดีกับท่านหรือไม่ ก็รอฟังข่าวด้วย การเข้าเรือนจำของท่านก็เป็นการวัดใจด้วย เเละเช็คเรื่องใจด้วย นั่นคือเหตุผลที่ตนมาล่าช้าสุดในวันนี้
นายจักรภพ กล่าวต่อว่า ทางนักข่าวต่างประเทศได้ถามว่าคิดว่านี่คือคดีความสุดท้ายของนายทักษิณ แล้วหรือไม่ หรือต่อไปจะมีการกล่าวหาหรือเอาโทษในคดีอื่นมาอีกหรือไม่ ตนจึงขอตอบว่า เราไม่สามารถตอบได้ว่าจะมีใครคิดเอาคดีใหม่ ๆ มาให้หรือไม่ มากล่าวหาหรือไม่ แต่เราหวังว่าการเข้าเรือนจำของนายทักษิณครั้งนี้ เป็นไปโดยสมัครใจ เพราะถึงไปนอกประเทศแล้วก็ยังกลับมาเข้าเรือนจำ ครั้งนี้จะเป็นบททดสอบสำคัญต่อใจผู้ใหญ่บ้านเมือง ว่าการเสียสละเช่นนี้เพียงพอหรือไม่ที่เราจะกลับมาทำงานด้วยกันอีกครั้งหนึ่งได้หรือต้องให้ตายกันไปอีกข้างหนึ่ง
ประเด็นคือเราต้องการให้เหตุการณ์ครั้งนี้เป็นบททดสอบที่หวังว่าทุกคนจะมีความใจกว้างขึ้น ลดราวาศอก ลดความเป็นพรรคพวกมากขึ้น เพราะวันนี้ประเทศไทยอยู่ในฐานะที่ลำบาก ในการพัฒนาทุกด้าน
เมื่อถามว่าใกล้เลือกตั้งแล้วกรณีที่นายทักษิณคงอยู่ในเรือนจำเช่นนี้จะส่งผลกระทบต่อเสียงพรรคเพื่อไทยหรือไม่ นายจักรภพ กล่าวว่า การใกล้ที่เลือกตั้งแล้วและการที่นายทักษิณยังคงอยู่ในเรือนจำนั้น ตนขอเรียนว่าชื่อของนายกทักษิณ เป็นเหมือนสัญลักษณ์ไปแล้ว ท่านจะอยู่ที่บ้านจันทร์ส่องหล้า หรืออยู่ที่ทำเนียบรัฐบาล หรือที่บ้านพิษณุโลก หรืออยู่ในเรือนจำ ท่านก็สามารถมีอิทธิพลทางบวกให้คนในพรรคได้ยึดเป็นแนวทาง แต่สิ่งที่ตนเป็นห่วงไม่ใช่เรื่องของตัวนายกทักษิณ กับอิทธิพลทางความคิด แต่กลัวว่าจะมีคนช่วยโอกาสเอาเรื่องนี้สร้างความแตกแยกในมุมพวกเราเอง และความแตกแยกนั้นจะทำให้กำลังอ่อนเปลี้ยลง
บรรยากาศที่เรามาแสดงตัวกันมากขึ้นในตอนหลังนี้ก็เพราะว่าเราอยากเห็นพรรคกลับมา อยากให้คิดถึงประวัติศาสตร์ของพรรค เพราะพรรคไม่ได้มีอายุแค่ 5 ปี แต่มีอายุถึง 20 ปีแล้ว นับแต่การเป็นรัฐบาลเมื่อปี 2544 เป็นต้นมา และประชาชนก็ให้ความไว้วางใจ
ผู้สื่อข่าวต่างประเทศได้สอบถามว่าภายหลังกระบวนการยื่นทูลเกล้าฯ ถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษเฉพาะราย เราได้มีการประเมินกรอบระยะเวลาหรือไม่ว่าเมื่อใดนายทักษิณ ชินวัตร จะได้ออกจากเรือนจำฯ นายจักรภพ ตอบว่า เรื่องนี้คงไม่มีใครรู้อย่างแน่นอน นอกจากนี้ ยังได้ถามต่อว่ามีใครในประวัติศาสตร์ประเทศไทยหรือไม่ ที่มีการยื่นขอพระราชทานอภัยโทษสองครั้งเหมือนกับนายทักษิณนั้น ก็ยืนยันไปว่าไม่มี
เมื่อถามว่าเรื่องการทูลเกล้าฯ ขอพระราชทานอภัยโทษเฉพาะรายของนายทักษิณ ซึ่งก่อนหน้านี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมคนใหม่ก็ได้มีการถวายความเห็นยกฎีกา และในขณะนี้อยู่ในชั้นของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.) ในส่วนนี้ยังต้องไปรอลุ้นในชั้นของสำนักงานองคมนตรีถึงผลฎีกาหรือไม่ นายจักรภพ กล่าวว่า ตนคิดว่า ไม่ว่าผู้ใหญ่ระดับไหนในสังคมไทยในขณะนี้ต้องดูแล้วว่าเมืองไทยถูกมองจากโลกในฐานะที่ไม่ปกติ เมื่อไม่ปกติก็แปลว่าการลงทุนในประเทศไทยก็อาจได้รับความกระทบกระเทือน แม้กระทั่งการเยี่ยมเยือนของมิตรประเทศก็อาจชะลอไปก่อน และสุดท้ายการท่องเที่ยวก็อาจได้รับความกระทบไปด้วย
“ผมขอไม่ตอบโดยตรงว่าสำนักไหนหรือกลุ่มไหนจะต้องมีผลอย่างไร แต่ขอตอบว่าหากเรารักชาติร่วมกัน และเราเห็นว่าผลประโยชน์ของชาติอยู่เหนือว่าอัตตาของเรา ผมคิดว่าเราจะย้อนกลับมาพิจารณาทุกอย่าง ผมพูดในฐานะคนไทยคนหนึ่งว่า อย่าเล่นกับกระบวนการกฎหมายให้มากนัก เพราะสุดท้ายเมื่อเราหยุดทะเลาะกัน กระบวนการที่จะพาเราไปสู่ความเป็นปกติก็คือกระบวนการกฎหมาย หากเราใช้กฎหมายไปในทางที่ทำให้ประชาชนไม่เชื่อถือ แล้วเราจะมีกลไกอะไรในการหยุดความขัดแย้ง
ถามว่าเช่นนั้นคนไทยจะไม่ต้องทะเลาะกันไปตลอดชาติเลยหรือ จึงขอฝากว่าถ้าหากเห็นแก่ส่วนรวมจงทำเรื่องคดีความให้เป็นไปตามขั้นตอน เพราะในอดีตก็ต้องยอมรับว่ามันมีการเล่นเกมกัน สุดท้ายก็ได้สติว่าการเล่นเกมกับข้อกฎหมายนั้นเป็นอันตรายต่อประเทศชาติในระยะยาวเพราะจะไม่มีขั้นตอนสุดท้ายในการยุติความขัดแย้ง ซึ่งทุกประเทศใช้กฎหมายเป็นทางออกหมด ดังนั้น อย่าเล่นกับกฎหมายหรือเอากฎหมายมาเป็นเกมเสียหมด
เมื่อถามถึงกรณีที่ก่อนหน้านี้ปรากฏภาพข่าวว่านายทักษิณ ชินวัตร ได้เคยมีการไปนั่งพูดคุยสนทนากับนายเบนจามิน เมาเออร์เบอร์เกอร์ หรือเบน สมิธ อยากจะชี้แจงแทนอย่างไรหรือไม่ เนื่องจากตอนนี้มีข่าวว่าบุคคลดังกล่าวอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับเครือข่ายองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ นายจักรภพ กล่าวว่า นายเบน เป็นคนของนายฮุนเซน ซึ่งนายฮุนเซน ได้เป็นคนแนะนำนายเบน ให้กับนายทักษิณ โดยบอกว่าถ้าอยากทำธุรกิจในกัมพูชา ต้องคุยกับคนนี้ คนนี้ช่วยได้ แต่อย่าลืมว่าตอนที่นายทักษิณได้ไปเจอครั้งแรกนั้น ท่านเป็นเพียงประชาชนทั่วไป ไม่ได้มีหน้าทางการเมือง
การเจอใครจึงเป็นเรื่องธรรมดา สื่อมวลชนก็น่าจะทราบว่าบางทีก็มีการถามกันว่าทำไมจึงไปถ่ายรูปกับคนนี้ คนนี้ยาเสพติด คนนี้ค้ามนุษย์ ตนก็ต้องเรียนว่าจะถ่ายรูปกับใคร เราสามารถปฏิเสธได้หรือไม่ หากเขาขอถ่ายรูป จะไปขอตรวจประวัติเขาได้หรือไม่ ถือเป็นมิตรไมตรีกันก็ถ่ายรูปกันไป แล้วค่อยมาอธิบายทีหลัง แต่ในกรณีของนายเบน ตนอยากอธิบายให้ชัดเจนว่า นายเบนเป็นคนของรัฐบาลกัมพูชา และสมเด็จฮุนเซน ไม่ใช่คนของนายทักษิณ แต่พอภายหลังรู้ว่านายเบนเกี่ยวข้องกับอะไรบ้าง ความสัมพันธ์นั้นก็จบไป เรื่องนี้จริงๆแล้วมันยังเกี่ยวข้องกับอีกหลายส่วน เพราะนายเบนก็พยายามไปรู้จักกับอีกหลายคน ซึ่งต้องย้ำว่านายเบนเป็นฝ่ายไปรู้จัก ไม่ใช่เราเป็นฝ่ายพยายามไปรู้จักกับเขา ตนมองว่าแค่ความรู้จักกันคงเป็นเรื่องทั่วไป
ต่อข้อถามว่า ยืนยันว่าในวันที่นายทักษิณได้รู้จักกับนายเบนนั้นเกิดขึ้นโดยที่ยังไม่รู้ว่านายเบนมีความเกี่ยวข้องกับอะไรอย่างไร ใช่หรือไม่ แค่ต้องการไปคุยเรื่องธุรกิจ นายจักรภพ กล่าวว่า ใช่ครับ ตอนนั้นนายเบนเป็นชายหนุ่มอายุ 30 กว่าปี หน้าตาเกลี้ยงเกลา ฉลาด มีความรู้ดี มีสัญชาติเป็นคนแอฟริกาใต้ และมาทำงานในทวีปเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นเวลานาน ซึ่งตนก็เคยเจอและชื่นชอบในความฉลาดของเขา แต่ก็ไม่เคยคุยธุรกิจอะไรด้วย ตนขอเรียนพี่น้องสื่อมวลชนว่าบางคนหากเขามีความประพฤติที่ไม่ดี บางครั้งเราก็ต้องปรึกษาเขาในบางเรื่อง มันคงจะหาคนแบบในหนังการ์ตูนไม่ได้ที่จะดี 100% หรือเลว 100% มันก็จะต้องมีแบบดี ๆ เลว ๆ ชั่ว ๆ แบบนี้ จึงสัมพันธ์กับเขาในด้านดีอย่าไปสัมพันธ์กับเขาในด้านลบ
นายจักรภพ ยังกล่าวอีกว่า ในเรื่องของพรรคเพื่อไทย เราจะไม่ไปตัดสินคนที่อยู่ในพรรคมาก่อน ว่าจะให้คนนี้ลงหรือไม่ให้คนไหนลง ต้องขยายกระบวนการของพรรค ฉะนั้น ความไม่พอใจที่เกิดขึ้นในพรรคตอนนี้ ก็มีการพูดคุยกัน อย่างกรณีของนายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ ซึ่งเป็นอดีตหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ตนก็ได้ข่าวมาว่าเริ่มมีการพูดคุยกันบ้างแล้ว ซึ่งท่านก็เป็นผู้ใหญ่มาก ส่วนสิ่งที่ตนคิดว่าเป็นจุดที่ต้องปรับปรุง คือ พรรคของเรานั้นบางทีไม่มีบทบาทที่เหมาะสมให้แก่ผู้อาวุโสภายในพรรค เพราะผู้อาวุโสภายในพรรคนั้นเป็นผู้สร้างพรรค เป็นผู้ที่มีส่วนนำพรรคไปสู่ชัยชนะ พี่น้องประชาชนหลายท่านก็ศรัทธา
ฉะนั้น เราต้องย้อนกลับไปการเมืองทุกเจน ไม่ใช่การเมืองเจนใดเจนหนึ่ง ในครอบครัวเรามีปู่ย่าตายาย มีพี่ป้าน้าอา มีพ่อมีแม่มีหลานมีเหลนฉันใด พรรคการเมืองก็ต้องการภาวะแบบนั้น เพราะไม่มีคนจนไหนจะสละในเรื่องหนึ่งได้ เพราะเจนผู้ใหญ่จะชำนาญเรื่องบุคคล เกณฑ์คนได้ดี รู้เล่ห์เหลี่ยมของคน แต่อาจจะไม่เกี่ยวกับดิจิทัล แต่ก็ให้เอารุ่นน้องที่เก่งเรื่องดิจิทัลมาช่วย เอาข้อมูลเหล่านี้มารวมกันเพื่อเป็นผลประโยชน์ที่ดีขึ้น พูดง่าย ๆ คือ พรรคเพื่อไทยควรต้องสะท้อนภาพสังคมอุดมคติและใช้คนในทุกเจนมาเป็นประโยชน์ตามความรู้ความสามารถตามความชำนาญของคน