“ณัฐพงษ์” ขอทุกฝ่ายเชื่อในการเมืองแห่งความเป็นได้ ชี้หากไม่เชื่อคงไม่มี MOA อนุทินไม่ได้นั่งนายกฯ และการร่าง รธน. จะไม่เดินหน้าถึงวันนี้ ขอให้ลงมติรับทุกร่าง เพื่อหมุนเข็มนาฬิกาที่หยุดนิ่งมา 20 ปี ไม่ใช่นาฬิกาบนข้อมือนักการเมือง แต่เปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วม ย้ำไม่ตัด ‘ซื่อสัตย์สุจริต-มาตรฐานจริยธรรม’ ชี้ปัญหาไม่อยู่ที่คำ แต่อยู่ที่คนตีความ
15 ตุลาคม 2568 – เวลา 13.00 น. นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคประชาชน และผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร อภิปรายสรุปเป็นคนสุดท้ายของพรรคประชาชน ว่า พรรคประชาชนเห็นตรงกันว่า อยากให้การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ทำได้ การเลือกสภาผู้ร่างโดยอ้อม และเลือกสภาที่ปรึกษาโดยตรง สามารถทำได้ พรรคประชาชนใช้หลักการที่เชื่อว่า การเมืองคือเรื่องแห่งความเป็นไปได้ ที่ต้องพิจารณาควบคู่กับการเมืองในความเป็นจริง หากพรรคภูมิใจไทยวันนี้ไม่เชื่อถึงความเป็นไปได้ ว่าท่านจะสามารถโน้มน้าว สว. จำนวน 1 ใน 3 ให้เห็นชอบกับทุกร่าง การจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่คงไม่สามารถทำได้ ถ้าพรรคประชาชนไม่เชื่อว่า เราทุกคนมีเจตนารมณ์เดียวกันในการเดินหน้าทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ก็คงไม่เกิดข้อตกลง MOA คุณอนุทินไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรี
“การเชื่อในการเมืองแห่งความเป็นไปได้แบบนี้หรือเปล่า ที่ทำให้กระบวนการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ดูเป็นจริงมากที่สุดในรอบ 2 ปีที่ผ่านมานี้”นายณัฐพงษ์ กล่าว
นายณัฐพงษ์ กล่าวต่อว่า อย่าปฏิเสธว่าพรรคภูมิใจไทยไม่ได้พิจารณาถึงความเสี่ยงที่ทั้งพรรคประชาชนและพรรคเพื่อไทยสามารถยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจได้ตลอดเวลา นับตั้งแต่ลงนามสัญญา MOA กับพรรคประชาชน ทุกอย่างเราประเมินผลได้ผลเสียตลอดเวลา ประเด็นคือ เวลาเราคิดถึงผลเสีย เราคิดถึงผลได้ของใคร เรายืนยันว่า ข้อเสนอของพวกเราเป็นไปได้ ไม่ได้ขัดต่อคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ และคนที่ได้มากที่สุดคือประชาชน
“เรากำลังโหวตในวันนี้ ในเรื่องของความเป็นไปได้ในการหมุนเข็มนาฬิกาของประเทศไทยให้เดินหน้าต่อไป หลังนาฬิกาเรือนนี้หยุดนิ่งมาเกือบ 20 ปี นั่นเพราะการลงมติวันนี้ จะเป็นการปลดโซ่ตรวนทุกอย่างของการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญปี 2560 ที่ยากมากๆ และเข็มนาฬิกาที่ควรจะถูกหมุนต่อ จะไม่ใช่เข็มนาฬิกาบนข้อมือของนักการเมือง แต่เป็นเข็มนาฬิกาชีวิตของคนไทยทุกคน ที่เราควรเปิดโอกาสให้ตัวแทนประชาชนมีส่วนร่วมมากที่สุด” นายณัฐพงษ์ กล่าว
นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า รัฐธรรมนูญไม่ใช่ยาวิเศษ แต่เป็นสิ่งจำเป็นที่จะทำให้ประเทศไทยน่าอยู่ เพราะเกี่ยวข้องกับการกระจายอำนาจ คุณภาพชีวิตที่ดี สิทธิเสรีภาพ การศึกษา เกี่ยวข้องกับการทำให้รัฐทันสมัยและมีอนาคตที่เปิดกว้างสำหรับทุกคน ไม่ใช่ติดล็อกอยู่กับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี รัฐควรเลือกลงทุนอย่างถูกจุด คือ ลงทุนในคน ในเมือง ในดิจิทัล และในความยั่งยืน
นายณัฐพงษ์ ระบุว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม รวมถึงรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้แถลงวิสัยทัศน์มากมายเกี่ยวกับรัฐบาลดิจิทัล แต่วันนี้รัฐบาลต่างๆ ทั่วโลก ไม่ได้แข่งกันเป็นรัฐบาลดิจิทัล แต่กำลังแข่งกันเป็นรัฐแพลตฟอร์ม เพื่อส่งเสริมผู้ประกอบการทุกคน ทำหน้าที่เป็นชานชาลาส่งเสริมผู้ประกอบการทุกคน ไม่ว่าคนตัวเล็กตัวน้อย นี่เป็นโครงสร้างพื้นฐานที่รัฐต้องลงทุนในอนาคต เพื่อสร้างโอกาสในการเติบโต และเสนอให้ใช้ร่างของพรรคประชาชนเป็นร่างหลักในการพิจารณา เพราะยืนยันว่า สิ่งที่เราคิดมานั้นเป็นสิ่งที่ทำได้ และยึดโยงกับประชาชนมากที่สุด รวมถึงข้อห่วงใยเรื่องการแก้ไข หมวด 1 และ หมวด 2 นั้น กลไกปัจจุบันของรัฐธรรมนูญไม่ได้ห้ามแก้ ประกอบกับมาตรา 255 ได้ล็อกไว้อยู่แล้วว่าไม่สามารถเปลี่ยนแปลงรูปแบบการปกครองได้
“รวมถึงข้อห่วงใยในการตัดถ้อยคำ ความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ และ การฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง สำหรับผมคิดว่าไม่ต้องห่วงเรื่องนี้ คนที่จะตัดหรือไม่ตัด 2 คำนี้ออก ไม่ใช่ผมหรือท่าน ไม่ใช่สมาชิกรัฐสภา แต่เป็นผู้ยกร่างรัฐธรรมนูญ และปัญหาสำคัญไม่ได้อยู่ที่คำ อยู่ที่คนที่มีอำนาจในการตีความต่างหาก หากนักการเมืองทุจริตเราจัดการทันที แต่เรื่องนามธรรมควรต้องให้ประชาชนเป็นคนตัดสินนักการเมือง ไม่ใช่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญไม่กี่คน” นายณัฐพงษ์ กล่าว