“เบน สมิธ” มอบอำนาจทีมทนาย “ธรรมนัส” ฟ้อง ‘โรม’ เรียกค่าเสียหายกว่า 100 ล้าน หลังถูกพาดพิงโยงขบวนการสแกมเมอร์-ฟอกเงิน ยัน เบน สมิธ ที่ถูกอภิปรายกล่าวหาเป็นคนละคนกัน บอก ธรรมนัส-เบน สมิธ รู้จักกันเป็นเวลากว่า 1 ปี ผ่านการแนะนำของ ‘ทักษิณ‘ แต่ไม่มีการทำธุรกิจร่วมกัน ขู่ หากเหมือน คดี ’สว.อุปกิต‘ โรม จะรับผิดชอบอย่างไรความเสียหายอย่างไร ยัน ไม่มีฟ้องปิดปาก
วันที่ 6 ต.ค. 68 ที่ศาลอาญารัชดา นายธนดล สุวัณณะฤทธิ์ ที่ปรึกษาฝ่ายกฎหมายฯ ของนายเบนจามิน เมาเออร์เบอร์เกอร์ หรือ เบน สมิธ ที่นายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน อภิปรายการแถลงนโยบายรัฐบาลในประเด็นความมั่นคงเรื่องปัญหาชายแดนไทย – กัมพูชา กล่าวหาว่าเป็น เจ้าพ่อสแกมเมอร์ ทุนสีเทา และคอลเซ็นเตอร์
นายธนดล กล่าวว่า วันนี้มายื่นฟ้อง นายรังสิมันต์ ทั้งคดีอาญาและคดีแพ่ง ส่วนคดีแพ่งได้ฟ้องเรียกค่าเสียหาย มูลค่า 100 ล้านบาท ซึ่งทางด้านของนายเบน สมิธ ได้มอบอำนาจให้ตนดำเนินการทางกฎหมาย และตอนนี้ศาลอาญาได้ประทับรับฟ้องเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และนัดไต่สวนมูลฟ้อง วันที่ 15 ธ.ค.68
เมื่อถามว่านายธนดลซึ่งเป็นทีมงานของ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ แต่เป็นตัวแทนของนายเบน สมิธ มายื่นฟ้องจะทำให้ถูกมองว่ามีความเชื่อมโยงกันหรือไม่ นายธนดล ชี้แจงว่า ร.อ.ธรรมนัส กับนายเบน สมิธ รู้จักกันมานานประมาณปีกว่า ผ่านการแนะนำของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ได้รับการชวนให้ลงทุนธุรกิจที่ประเทศดูไบและถูกชักชวนให้ลงทุนในประเทศไทย ส่วนตนเองก็รู้จักนายเบน สมิธ และพบเห็นนายเบน สมิธ ทานข้าวกับร.อ.ธรรมนัส มาปีกว่าแล้ว ซึ่งตนจึงได้รับมอบหมายให้ดูเรื่องข้อกฎหมายของนายเบน สมิธที่เกี่ยวข้องกับทางธุรกิจ
ซึ่งวันที่ 22 ส.ค. 68 ที่ผ่านมานับตั้งแต่ นายเบน สมิธ ได้มอบอำนาจให้ตนยื่นฟ้องนายทอม ไรท์ และนางสฤณี นักวิชาการอิสระ ที่บช.สอท. ในวันที่ 1 ก.ย. 68 กรณีการออกหมายเรียกกันไปเป็นที่เรียบร้อย ซึ่งกฎหมายไม่ได้ห้ามเรื่องการทำหน้าที่ทนาย แต่ความรู้สึกของประชนเราห้ามไม่ได้ ยืนยันว่าตนตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย ส่วนประชาชนและนายรังสิมันต์จะมองความเชื่อมโยงอย่างไรนั้นตนก็ห้ามไม่ได้
ในส่วนของกรณีที่นายรังสิมันต์ อาจจะใช้เอกสิทธิ์สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในการอภิปราย ซึ่งอาจจะไม่ผิดตามคำฟ้องนั้น นายธนดล กล่าวว่า ตามรัฐธรรมนูญปี 2560 ระบุว่าหาก การประชุมรัฐสภาเป็นการประชุมปิด สส.จะมีเอกสิทธิ์คุ้มครองในการอภิปราย แต่ถ้ามีการถ่ายทอดสดและมีการเอ่ยชื่อบุคคลที่สามทั้งคดีแพ่งและคดีอาญาจะไม่มีการคุ้มครอง
เมื่อถามว่า นายเบน สมิธ ทำธุรกิจอะไร นายธนดลชี้แจงว่า นายเบน สมิธ ทำธุรกิจหลายอย่างทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยมีการลงทุนทำธุรกิจที่สิงคโปร์จำนวนมาก ซึ่งการที่นายรังสิมันต์ มาอภิปรายและมีสื่อต่างประเทศนำเสนอสร้างความเสียหายให้กับธุรกิจ ทำให้ถูกตรวจสอบจากประเทศสิงคโปร์อย่างเข้มงวด โดยธุรกิจส่วนใหญ่เป็นธุรกิจเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ การลงทุน และเป็นนายหน้าขายเรือและเครื่องบิน
นายธนดลระบุว่า เมื่อวาน(5 ต.ค. 68)ได้เจอกับนายเบน สมิธ และภรรยา ซึ่งได้พูดคุยกัน ซึ่งตนได้ทำการตรวจสอบประวัติของนายเบน สมิธ แต่ไม่พบหมายจับหรือหมายแดงอินเตอร์โพล แต่อย่างใด หรือมีเคยต้องโทษในคดีใด
อีกทั้งนายธนดลเปิดเอกสารที่ระบุว่า นายเบญจามิน ที่ถูกดำเนินคดีปี 2564 เป็นคนละคนกันกับนายเบน สมิธ ซึ่งมีชื่อว่า นายเบนจามิน เบอร์เกอร์ แต่นายเบน สมิธ คนนี้ชื่อว่า นายเบนจามิน เมาเออร์เบอร์เกอร์ ซึ่งไม่เคยได้รับหมายเรียกหรือถูกศาลฟ้อง และยืนยันว่าเป็นคนละคนกัน
ส่วนความสัมพันธ์ระหว่างนายเบน สมิธ กับสมเด็จฮุน เซน ตนเคยสอบถาม นายเบน สมิธ ซึ่งนายเบน สมิธ ยอมรับว่า เคยไปประเทศกัมพูชาจริงและมีการชวนนักลงทุนชาวต่างชาติให้ไปลงทุนที่กัมพูชาจริง ซึ่งได้พาสปอร์ต เป็นที่ปรึกษาของรัฐบาลกัมพูชา แต่ไม่เคยเข้าร่วมประชุมร่วมกับรัฐบาลกัมพูชาเลย
ทั้งนี้หากนายรังสิมันต์อภิปรายเรื่องจริง ก็ให้ไปฟ้องหรือแจ้งความได้เลย ตนพร้อมจะสนับสนุนเต็มที่ และจะออกจากทีมกฎหมายหากพบความผิดจริง แต่ขอตั้งคำถามฝากไปถึงนายรังสิมันต์ ว่า “แล้วถ้ามันไม่ใช่ตามที่คุณได้อภิปราย แล้วคุณโรมจะรับผิดชอบชีวิตของคุณเบนอย่างไร”
ส่วนวันไต่สวนมูลฟ้อง นายธนดล กล่าวว่ากำลังปรึกษาหารือว่านายเบน สมิธ จะมาเองหรือไม่ แต่วันนั้นจะมีพยานสองคนที่เป็นประชาชนทั่วไปที่รับชมการอภิปรายจะมาให้การในชั้นศาล
ขณะที่การฟ้องครั้งนี้จะเป็นการฟ้องปิดปากหรือไม่นั้น นายธนดล ยืนยันว่า ไม่ได้ฟ้องปิดปาก แต่เป็นทางเดียวที่จะพิสูจน์ให้รูัว่า ข้อเท็จจริงของเรื่องดังกล่าวเป็นอย่างไร
ส่วนวันที่ 9 ตุลาคม ร.อ.ธรรมนัส ยืนยันว่า จะเข้าไปชี้แจงกับคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนยุทธศาสตร์ชาติ และการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎร ที่นายรังสิมันต์ เป็นประธานอยู่
ทั้งนี้กรณีที่ ร.อ.ธรรมนัส จะฟ้องกลับนายรังสิมันต์ ตนให้คำแนะนำว่าไม่ควรฟ้อง เนื่องจากเป็นการตั้งคำถามถึงเท่านั้น จึงมองว่าบางและหากฟ้องอาจไม่ชนะ
ส่วนกรณีที่ ร.อ.ธรรมนัส เดินหน้าแจ้งความเอาผิดสื่อมวลชนและบุคคลที่ไปแสดงความคิดเห็นในโซเชียลมีเดียจนสร้างความเสียหายให้กับ ร.อ.ธรรมนัสนั้น ตนเอง ไม่ทราบว่าดำเนินการไปถึงไหนแล้วเพราะใช้ทีมทนายอีกทีมดูแลคดีดังกล่าว