ไทยโพสต- การเมืองไทยกำลังยืนอยู่บนเส้นแบ่งบางระหว่าง “ความยุติธรรม” กับ “การตีความกฎหมาย” และผู้ถือดาบปราบโกงกลับอาจเป็นคนหันปลายดาบเข้าหาประชาชนเอง
ป.ป.ช. จุดชนวนข้อกังขาใหม่
การตัดสินใจของ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ที่ “รับไต่สวน” คณะรัฐมนตรีชุด นายเศรษฐาทวีสิน ฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ (มาตรา 157) จากกรณีโยกงบประมาณ 35,000 ล้านบาท เพื่อใช้ในโครงการแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท กลับถูกบดบังด้วยประเด็นที่ร้อนแรงยิ่งกว่า
เพราะ ป.ป.ช. “ยกคำร้อง” ไม่รับไต่สวนความผิดตาม รัฐธรรมนูญมาตรา 144 ต่อสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา และกรรมาธิการหลายร้อยราย โดยให้เหตุผลว่า “ข้อเท็จจริงยังไม่ปรากฏเพียงพอ” และ “เกิดหลังการประกาศใช้ พ.ร.บ.งบประมาณแล้ว” มตินี้จุดชนวนคำถามหนักหน่วงว่า “ดาบปราบโกง” ถูกตีความให้ทื่อจนไร้เขี้ยวเล็บหรือไม่?
ม.144: โทษประหารทางการเมืองที่ถูกทำให้หมดฤทธิ์
รัฐธรรมนูญ มาตรา 144 ถูกออกแบบมาเพื่อ ห้ามนักการเมืองแปรญัตติงบประมาณเพื่อประโยชน์ตนเองหรือผู้อื่น โดยกำหนดโทษชัดเจน พ้นตำแหน่งทันที และเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง
นี่คือกลไก “ตัดไฟแต่ต้นลม” ของการทุจริตทางนโยบาย แต่การตีความของ ป.ป.ช. ที่จำกัดอำนาจตรวจสอบเฉพาะช่วงก่อน พ.ร.บ.งบประมาณมีผลบังคับใช้ กลับทำให้บทบัญญัตินี้แทบไม่สามารถใช้ได้จริงในทางปฏิบัติ
เพราะ “การทุจริตงบประมาณ” มักจะปรากฏชัดหลังการอนุมัติใช้จ่าย ไม่ใช่ระหว่างการอภิปรายในสภา เมื่อถึงตอนนั้น ม.144 ก็หมดอำนาจลงพอดี
ม.88: กลไกตรวจสอบที่ถูกปิดตาย
“กลุ่มรวมพลังแผ่นดิน” ซึ่งนำโดย นายชาญชัย อิสระเสนารักษ์, พล.ร.อ.พะจุณณ์ ตามประทีป, นายสมชาย แสวงการ, อ.เจษฎ์โทณะวณิก และ นายนิติธร ล้ำเหลือ มองว่า การตีความเช่นนี้ทำลายเจตนารมณ์ของกฎหมายโดยสิ้นเชิง
เพราะ มาตรา 88 แห่ง พ.ร.ป.ป.ช. 2561 ให้อำนาจ ป.ป.ช. ไต่สวนความผิดตาม ม.144ได้ “แม้หลังจาก พ.ร.บ.งบประมาณประกาศใช้แล้ว” เพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนหรือเจ้าหน้าที่รัฐแจ้งเบาะแสความผิดที่เพิ่งปรากฏขึ้นภายหลัง
การปฏิเสธอำนาจนี้จึงเท่ากับ “ปิดประตูการตรวจสอบ” ที่ควรจะทำหน้าที่คุ้มครองผลประโยชน์แผ่นดินอย่างแท้จริง
ความรับผิดชอบที่หายไป
กลุ่มผู้ร้องยังตั้งคำถามว่า หาก ป.ป.ช. เห็นว่า ครม. กระทำผิด ม.157 จริง เหตุใดสมาชิกสภาที่ลงมติเห็นชอบการโยกงบจึงไม่ถูกพิจารณาในฐานะ “ผู้สนับสนุนการกระทำความผิด”?
การยกคำร้องต่อ ส.ส. และ ส.ว. ทั้งหมด เท่ากับสร้างบรรทัดฐานใหม่ให้ฝ่ายนิติบัญญัติสามารถอนุมัติงบประมาณที่อาจไม่ชอบด้วยกฎหมายโดยไม่ต้องรับผิดชอบ นี่คือการ “ทำลายสมดุล” ระหว่างฝ่ายบริหารกับฝ่ายนิติบัญญัติอย่างสิ้นเชิง
ระเบิดเวลาทางนิติรัฐ ที่นับถอยหลัง
ผู้ร้องได้ยื่นหนังสือเรียกร้องให้ ป.ป.ช. ทบทวนคำวินิจฉัยภายใน 15 วัน พร้อมให้เหตุผลว่า หากยังไม่มีคำตอบชัดเจน ความเงียบนี้จะกลายเป็น “ระเบิดเวลา” ที่สั่นคลอนความเชื่อมั่นของสังคมต่อองค์กรตรวจสอบ
เพราะหากการตีความ ม.144 และ ม.88 ยังคงถูกจำกัดเพียงในทางเทคนิค ไม่ใช่ตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ “โทษประหารทางการเมือง” สำหรับผู้แปรญัตติงบประมาณโดยมิชอบ ก็จะเหลือเพียง เสือกระดาษ
ระเบิดที่ไม่เพียงเขย่าความเชื่อมั่นต่อองค์กรอิสระเท่านั้น แต่ยังสั่นคลอนเสาหลักของ หลักนิติรัฐและธรรมาภิบาล ที่เป็นฐานของการเมืองประชาธิปไตยไทย
เพราะหน้าที่ขององค์กรตรวจสอบ ไม่ได้อยู่ที่ “การตีความให้ปลอดภัยแก่ตนเอง” แต่อยู่ที่ “การยืนยันความยุติธรรมให้ชัดเจน” โดยไม่หวั่นต่อแรงกดดันทางการเมือง
“ดาบแห่งความยุติธรรม” ที่เคยคมที่สุดในรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ก็จะกลายเป็นเพียง ดาบที่ขึ้นสนิม ถูกตั้งโชว์ไว้กลางสนามการเมือง
ไม่มีพลัง ไม่มีศรัทธา และไม่มีความหมายและเมื่อถึงวันนั้นจริง ๆ เมื่อกฎหมายไม่อาจปกป้องความถูกต้องได้อีกต่อไป
ประชาชน คงจะต้องเป็นผู้ลุกขึ้น “พิพากษา”ด้วยพลังของตนเอง ไม่ใช่ด้วยคำตัดสินในห้องประชุมขององค์กรใด แต่ด้วย “เสียงแห่งมติประชาชน” ที่หนักแน่นกว่าอำนาจใดในระบอบประชาธิปไตย
เพราะสุดท้ายแล้ว ไม่มีองค์กรอิสระใดจะยิ่งใหญ่ไปกว่า “ศรัทธาของประชาชนที่ไม่ยอมจำนนต่อความไม่ยุติธรรม”
