ข่าวประจำวัน » ด่วน วิ่งตับแลบ !! ครม.อิ๊งค์-เศรษฐา-สภา รอด ม.144 แจกเงินหมื่น แต่จะเอาผิดเฉพาะเศรษฐา-อนุทินม.157  

ด่วน วิ่งตับแลบ !! ครม.อิ๊งค์-เศรษฐา-สภา รอด ม.144 แจกเงินหมื่น แต่จะเอาผิดเฉพาะเศรษฐา-อนุทินม.157  

30 October 2025
68   0

สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2568 ที่ประชุมคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีมติแต่งตั้งองค์คณะไต่สวน กรณีกล่าวหา นายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรี กับพวก ร่วมกันแปรญัตติในทางลดหรือตัดทอนงบประมาณรายจ่ายของสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ (SFLs) จำนวน 5 แห่ง วงเงินรวม 35,000 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นเงินส่งใช้ต้นเงินกู้ ดอกเบี้ยเงินกู้ และรายจ่ายตามข้อผูกพันที่กำหนดให้จ่ายตามกฎหมาย แล้วนำไปเพิ่มเป็นงบประมาณรายจ่ายตาม พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2568 รายจ่ายงบกลาง (5) ค่าใช้จ่ายเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างความเข้มแข็งของระบบเศรษฐกิจ (Digital Wallet) 

โดยผู้ถูกกล่าวหาในจะถูกไต่สวนคดีนี้ ประกอบไปด้วย

1.นายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรี

2. คณะรัฐมนตรีในรัฐบาล นายเศรษฐา ที่เข้าร่วมประชุมและมีมติเห็นชอบกับการเสนอขอปรับลดหรือเปลี่ยนแปลงรายการงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2568 ในการประชุมเมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2567 ซึ่งมีชื่อของนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี คนปัจจุบัน ซึ่งในขณะนั้นดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ยกเว้นรัฐมนตรี 3 ราย ที่ไม่ได้เข้าร่วมประชุมด้วย 

3. นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (ตำแหน่งในขณะนั้น)  นายกรณินทร์ กาญจโนมัยรองผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ  (ตำแหน่งในขณะนั้น)  ในฐาะที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเสนอขอปรับลดหรือเปลี่ยนแปลงรายการงบประมาณของสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐจำนวน 5 แห่ง ได้แก่ 1.ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย 2.ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร 3.ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย 4.ธนาคารออมสิน และ 5.ธนาคารอาคารสงเคราะห์

แหล่งข่าวกล่าวว่า เกี่ยวกับคดีนี้ ในชั้นสอบสวนข้อเท็จจริง มีการระบุข้อกล่าวหาว่า เป็นกรณีการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 แต่ที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช. เห็นว่าไม่เข้าข่ายการกระทำความผิดตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 144  แต่เห็นว่า เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ในประเด็นการนำเงินกู้ไปใช้ผิดประเภท จึงมีมติให้รับเรื่องไว้ไต่สวนเพื่อดำเนินการตามขั้นตอนทางกฎหมายต่อไป

“เดิมทีคดีนี้ ในช่วงการรับเรื่องเข้าสู่กระบวนการสอบสวน มีชื่อ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี , ครม.ในรัฐบาล น.ส.แพทองธาร รวมถึงคณะกรรมาธิการ สส., สว. ที่มีการพิจารณาและลงมติเห็นชอบร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2568 ด้วย แต่จากการสอบสวนไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่า มีส่วนเกี่ยวข้องหรือไม่ร่วมกับ นายเศรษฐา ทวีสิน ในการปรับลดหรือเปลี่ยนแปลงงบประมาณของสถาบันการเงินทั้ง 5 แห่ง กระการทำไม่มีมูล เห็นควรยุติการสอบสวนไป”

สำนักข่าวอิศรา รายงานว่า การตั้งองค์คณะไต่สวนคดีนี้ของ ป.ป.ช. เป็นไปตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 51 ที่ระบุว่า ในการไต่สวนเรื่องใดที่เป็นเรื่องสำคัญมีผลกระทบอย่างกว้างขวาง หรือเป็นกรณีมีการไต่สวนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ หรือผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ ให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ดำเนินการไต่สวนเอง หรือจะแต่งตั้งกรรมการไม่น้อยกว่าสองคนและบุคคลอื่นเป็นคณะกรรมการไต่สวนก็ได้

คณะกรรมการไต่สวนตามวรรคหนึ่งมีอำนาจแต่งตั้งหัวหน้าพนักงานไต่สวนหรือพนักงานไต่สวน และพนักงานเจ้าหน้าที่ให้ช่วยเหลือคณะกรรมการไต่สวนในการดำเนินการตามหน้าที่ได้ตามที่เห็นสมควร

อย่างไรก็ดี การตั้งองค์คณะไต่สวนคดีนี้ของป..เป็นการไต่สวนคดีตามขั้นตอนทางกฎหมาย ยังต้องผ่านขั้นตอนอีกหลายขั้นตอน ถ้าพบว่า มีมูลจึงจะมีการแจ้งข้อกล่าวหา และเปิดโอกาสให้ผู้ถูกกล่าวหาชี้แจง จากนั้นจึงจะสรุปสำนวน ส่งให้คณะกรรมการ ...ชี้มูลอีกครั้ง