สืบเนื่องจากพรรคประชาชนเชิญประชาชนร่วมกิจกรรมพบปะในรูปแบบปิกนิก เพื่อเปิดพื้นที่พูดคุย รับฟังความคิดเห็น และกล่าวคำขอโทษต่อประชาชน
กิจกรรมดังกล่าวจัดขึ้นเมื่อวานนี้ บริเวณสนามหญ้า มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร
ต่อมามีการแชร์ภาพบรรยากาศของกิจกรรมดังกล่าวในโลกออนไลน์ พร้อมโพสต์ข้อความวิจารณ์ถึงการจัดงาน โดยระบุว่า “มุมกว้างสุด ช่วงพีคสุด ของเวลา ช่างภาพเกินครึ่ง ที่นั่งตรงพื้น ก็ สส.พรรค เกินครึ่ง จัดเสวนา ขอโทษประชาชน แต่ ประชาชนไม่ยอมมารับฟังคำขอโทษ ? ที่ประชาชนไม่ล้นหลาม อย่างที่คิด แต่ที่ล้นหลามคือ เห็บหมาบนยอดหญ้า ขอบคุณค่ะ”
ล่าสุดวันนี้ (14 ธ.ค.) นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมืองและนักเคลื่อนไหวทางการเมือง โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว แสดงความคิดเห็นต่อกรณีที่พรรคประชาชนจัดกิจกรรม ปิกนิกขอโทษประชาชน ภายหลังไม่สามารถผลักดันการแก้ไขรัฐธรรมนูญได้สำเร็จ โดยตั้งคำถามถึงความเหมาะสมของการจัดกิจกรรมในลักษณะดังกล่าวต่อประเด็นที่ถือเป็นเรื่องใหญ่ของประเทศ
นายชูวิทย์ระบุว่า การออกมายอมรับความผิดพลาดและขอโทษประชาชนเป็นสิ่งที่ควรทำ แต่การใช้กิจกรรมลักษณะปิกนิกอาจทำให้ประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญดูเป็นเรื่องเบาเกินไป พร้อมตั้งข้อสังเกตต่อท่าทีของพรรคประชาชนที่แสดงความมั่นใจว่าหากได้จัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียวในอนาคต จะไม่เผชิญปัญหาการถูกหักหลังจากพรรคร่วมอีก
ปิกนิก ขอโทษประชาชน (แต่เที่ยวหน้า ขอเป็นรัฐบาลพรรคเดี่ยว!)
พรรคประชาชนจัดปิกนิกขอโทษประชาชนที่แก้ไขรัฐธรรมนูญไม่สำเร็จ ยอมรับแล้วว่าเสี่ยงกับพรรคภูมิใจไทย
มั่นใจครั้งหน้าเป็นรัฐบาลพรรคเดียวจะไม่ถูกหักหลังอีก จัดอีเว้นท์ขอโทษกับเรื่องใหญ่ของประเทศแบบนี้ มันไม่ดูง่ายไปหน่อยหรือ?
แล้วยังขอเป็น “รัฐบาลพรรคเดี่ยว” อีก ขอมากไปไหม? ผมว่าปิกนิกครั้งนี้หัวหน้าพรรคประชาชนต้องขอโทษทหารด้วย ตั้งแต่ ธนาธร พิธา มาถึงหัวหน้าเท้ง คนปัจจุบัน ยังเคยปราศรัยเมื่อสองปีก่อนว่า ไม่มีการรุกรานของประเทศเพื่อนบ้าน หากมีการรบกันจริงก็ไม่เชื่อว่าทหารไทยจะชนะด้วย ต้องลดกำลังกองทัพ บางประเทศไม่ต้องมีกองทัพเสียด้วยซ้ำ
อันนี้ก็พูดด้วยความอ่อนหัด อันเป็นความคิดเห็นที่เป็นอันตรายอย่างยิ่งของคนที่จะมาบริหารประเทศ สงคราม ไทย-เขมร คงได้สอนให้พรรคประชาชนเห็นแล้วว่า ทำไมไทยต้องมีกองทัพ มีทหารไว้เพื่อปกป้องดินแดน อธิปไตย ไม่ให้ใครรุกราน ยังมีอะไรอีกหลายอย่างที่หัวหน้าพรรคประชาชนต้องเรียนรู้ก่อนที่จะไปบริหารประเทศ ความคิดความเชื่อของพรรคที่ด้อยประสบการณ์และดื้อรั้น แต่คาดหวังจะให้ได้รับเลือกเป็นพรรคเดียวไปจัดตั้งรัฐบาล นับว่าประชาชนต้องระวังให้มาก จากศึกสงคราม ไทย-กัมพูชา ครั้งนี้ ทำให้เราต้องตระหนักว่า งานการเมืองไม่ใช่งานบริษัท ผู้นำประเทศไม่สามารถทำผิดพลาดกับนโยบายใหญ่
แล้วมาเรียนรู้พัฒนา เพราะความเสียหายไม่ใช่เฉพาะทรัพย์สินเงินทอง การเอาคนไม่มีประสบการณ์มาบริหารบริษัทเจ๊งไป ยังมีคนมารับเซ้งต่อ หาคนมีประสบการณ์ เก่ง รอบรู้มาบริหารใหม่ กลับพลิกฟื้นได้กำไร แต่หากเอามือสมัครเล่น ไม่มีประสบการณ์ มาเรียนรู้ฝึกงานบริหารประเทศเจ๊งไป มันไม่มีใครมารับเซ้งต่อนะครับ ประเทศไทยจึงไม่ใช่สถานที่ฝึกงาน ที่ทำพลาดแล้วแค่มาจัดปิกนิกขอโทษ แต่ต้องมาพร้อมความรับผิดชอบด้วยการ “ลาออก“ ต่างหาก
