.
พี่-น้อง ปริศนานันทกุล ชงญัตติตรวจสอบองค์ประชุมทั้งเสียบบัตร-ขานชื่อ ยื้อโหวตเลือกรองปธ.สภาฯ คนที่ 1 หลัง “พท.” ขอเลื่อนวาระ บรรยากาศสุดป่วน -โต้เถียงหนัก จน “ภราดร” ขอวอล์กเอาต์ พร้อมไล่ ”วัชระพล” ไปเรียนมาใหม่ หลังโต้เถียงเรื่องข้อบังคับ
เมื่อเวลา 13.40 น.วันที่ 7 สิงหาคม 2568 ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มี นายฉลาด ขามช่วง รองประธานสภาฯ คนที่ 2 เป็นประธานการประชุม หลังพักการประชุมไป 20 นาที ได้กลับมาประชุมอีกครั้ง โดย นายวัชระพล ขาวขำ ส.ส.อุดรธานี พรรคเพื่อไทย เสนอญัตติเปลี่ยนระเบียบวาระการประชุม โดยนำเรื่องการเลือกรองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 1 ขึ้นมาพิจารณา
.
ขณะที่ นายกรวีร์ ปริศนานันทกุล ส.ส. อ่างทอง พรรคภูมิใจไทย หารือว่า เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา มีการขอเลื่อนระเบียบวาระรองประธานสภาฯ ขึ้นมาพิจารณาก่อน และไม่ได้ติดขัดอะไร เพราะคิดว่าจำเป็นต้องมีรองประธานสภาฯ เพราะสัปดาห์หน้าจะมีการประชุมร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2569 แต่ก็เป็นห่วง เพราะเมื่อเช้าเราอยู่ในสภาพที่องค์ประชุมยังไม่ครบ ไม่ทราบว่า ตอนนี้องค์ประชุมจะครบหรือไม่ ยืนยันว่า เราไม่ได้มีเจตนาที่จะขัดขวางการดำเนินการแต่อย่างใด และตนคงจะไม่เสนอนับองค์ประชุม แต่ได้มีการพูดคุยกันว่า มีเรื่องด่วนที่คิดว่าอยากจะเสนอเป็นญัตติด่วนด้วยวาจาเพื่อให้สภาพิจารณา ที่เกี่ยวข้องกับการช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติชายแดนไทยกัมพูชา ดังนั้นเป็นไปได้หรือไม่ที่จะพิจารณาญัตติด่วนด้วยวาจาเรื่องนี้ก่อน ซึ่งอาจจะใช้เวลาเพียงหนึ่งถึง 2 ชั่วโมง เพราะรัฐมนตรีอยู่ในสภาแล้วสามารถตอบข้อซักถาม และนำข้อเสนอไปแก้ปัญหาอย่างเร่งด่วน
.
นายฉลาด ได้ขอให้พิจารณาญัตติด่วน ต่อจากการเลือกรองประธานสภาฯคนที่หนึ่งก่อน ทำให้นายกรวีร์ ขอตรวจสอบความพร้อมของฝ่ายรัฐบาลว่า มีความพร้อมที่จะเลือกรองประธานสภาจริงๆ โดยไม่เกิดเหตุการณ์แบบเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมาอีก ตนไม่ได้อยากเสนอนับองค์ประชุม แต่คิดว่าถ้ ารัฐบาลพร้อมก็อยากให้ยืนยัน
.
ขณะที่ นายวัชระพล กล่าวว่า กระบวนการในการเลือกรองประธานสภาฯ หากไม่มีผู้ใดเห็นเป็นอย่างอื่นใช้เวลาไม่เกิน 1 นาทีก็จบ จึงขอความกรุณาและความเห็นใจจากฝ่ายค้านว่า ให้หาคนมาทำหน้าที่ในตำแหน่งที่ว่างก่อนใช้เวลาไม่เกิน 1 นาที และญัตติด่วนที่ฝ่ายค้านเสนอพวกตนไม่ขัดข้อง เพราะเห็นถึงความเดือดร้อนของประชาชน
.นายกรวีร์ กล่าวว่า ถ้าฝ่ายรัฐบาลบอกว่า องค์ประชุมครบพร้อม ตนก็ต้องเสนอนับองค์ประชุมว่า พร้อมอย่างที่เพื่อนสมาชิกพร้อมหรือไม่ เพราะถ้าองค์ประชุมครบก็เดินหน้าไปตามระเบียบวาระ และพวกตนก็เสนอญัตติด่วนด้วยวาจา หลังจากที่มีการเลือกรองประธานสภาคนที่ 1 เรียบร้อยแล้ว ดังนั้น ตนขอเสนอนับองค์ประชุม
แต่ถูก น.ส.ขัตติยา สวัสดิผล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ลุกขึ้นแจ้งว่า ผู้รับรองไม่ครบไม่ถึง 5 คน ทำให้นายกรวีร์ ต้องขอสนับองค์ประชุม และขอผู้รับรองถึง 3 ครั้ง จึงผู้มีรับรองครบ
ทำให้ นายวัชระพล ขอให้ประธานวินิจฉัยให้นับองค์ประชุมแบบขานชื่อ เพราะประธานวิปรัฐบาลพูดไว้แล้วว่า จะได้ทราบว่า ใครมาทำงาน ใครไม่มาทำงานเพื่อประชาชนจะได้เห็นว่า ใครมาทำงานบ้าง ส.ส.คนไหนไม่มาก็จะได้รู้กันเลย
นายฉลาด จึงวินิจฉัยให้นับองค์ประชุมด้วยการขานชื่อ
ขณะที่ นายภราดร ปริศนานันทกุล ส.ส.อ่างทอง พรรคภูมิใจไทย ท้วงติงว่า วินิจฉัยแบบนี้ไม่ได้ เพราะมี 2 ญัตติ ต้องให้สมาชิกเลือกว่าจะใช้ญัตติใด และต้องนับองค์ประชุมก่อน
นายฉลาดยืนยันว่า นายวัชระพล ไม่ได้เสนอญัตติ ตนจึงขอให้นับองค์ประชุมด้วยการชื่อ แต่นายภราดร แย้งว่า ประธานใช้ข้อบังคับข้อไหน เพราะ พล.ต.ต.สุรินทร์ ปาลาเร่ ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ เสนอให้นับองค์ประชุมด้วยการขานชื่อ
ทำให้เกิดการโต้เถียง ระหว่างนายวัชพล กับนายภราดร โดย นายวัชระพล กล่าวว่า สมาชิกจากพรรคภูมิใจไทยเคยเป็นรองประธานสภาฯคนที่สอง แสดงว่าไม่ได้อ่านข้อบังฯ เพราะข้อบังคับที่ 32 ชัดเจนว่า ประธานมีอำนาจในการกำหนดการตรวจสอบองค์ประชุม และการนับองค์ประชุมไม่ญัตติ เป็นอำนาจของประธานวินิจฉัย ทำให้นายภราดร โต้แย้งว่า อ่านข้อบังคับข้อ 32 ให้ดีๆ ไปเรียนมาใหม่ เพราะประธานมีอำนาจในกรณีไม่มีญัตติ แต่ขณะนี้มีญัตติ 2 ญัตติ ประธานใช้ข้อ 32 ไม่ได้ ดังนั้น นายวัชพล ต้องไปเรียนมาใหม่
ขณะที่ พล.ต.ต.สุรินทร์ ลุกขึ้นกล่าวว่า ที่ตนเสนอญัตติไปไม่มีผู้รับรอง ทำให้นายภราดร ลุกขึ้นขอเสนอเองว่า ขอให้นับองค์ประชุมแบบขานชื่อ โดยมีผู้รับรองถูกต้อง
นายฉลาด จึงพยายามตัดบทให้ตรวจสอบองค์ประชุมด้วยการขานชื่อ แต่ นายณัฐวุฒิ ประเสริฐสุวรรณ ส.ส.สุพรรณบุรี พรรคชาติไทยพัฒนา เสนอว่า การวินิจฉัยของประธานในวันนี้จะเป็นบรรทัดฐานในการประชุมวันต่อไป เกี่ยวกับการนับองค์ประชุม ดังนั้น ตนมีทางเลือกให้ประธานใช้ข้อบังคับข้อที่สาม 12 ว่า ถ้าเมื่อมีการนับองค์ประชุมประธานสั่งปิดประตูทั้งหมด แล้วให้เจ้าหน้าที่เดินนับ ส.ส.ในที่ประชุมแห่งนี้ว่ามีจำนวนเท่าไหร่นี่คือข้อเท็จจริงที่ปรากฏจะได้ดำเนินการไปได้
นายภราดร ได้ทักท้วงว่า ประธานจะวินิจฉัยตามข้อ 32 ไม่ได้ เพราะมีสองญัตติต้องถามประมติที่ประชุมว่าจะลงมติด้วยการขายชื่อหรือเสียบบัตร แต่ก่อนลงมติต้องนับองค์ประชุมก่อน แต่นายฉลาดกลับถามนายกรวีร์ว่า จะถอนญัตติหรือไม่ เพราะพี่ก็เสนอญัตติด้วยการขานชื่อ เวลากลับบ้านก็จะได้กลับด้วยกัน ทำให้ นายกรวีร์ สวนว่า เหตุใดต้องให้ถอนเพราะนายภราดรเสนอ และอยู่บ้านเดียวกัน จะให้ตนถอนด้วย เรื่องอะไรตนไม่เข้าใจ
ทั้งนี้ นายวิสุทธิ์ อภิปรายว่า ประธานได้วินิจฉัยให้ตรวจสอบองค์ประชุมด้วยการขานชื่อ ขอให้ดำเนินการตามคำวินิจฉัย เพราะการเสนอญัตติให้ตรวจสอบองค์ประชุม ด้วยการเสียบบัตรนั้นเกิดขึ้นภายหลัง จากที่ประธานได้วินิจฉัยไปแล้ว จะเป็นอย่างอื่นไม่ได้
ขณะที่ นายภราดร ยืนยันมีสองญัตติจะต้องให้สภามีมติอย่างหนึ่งอย่างใดเสียก่อน จะเป็นอย่างอื่นไม่ได้ เพราะประธานให้ใช้ญัตติของตนให้ขานชื่อ ขอให้ประธานใจเย็นๆ ดูข้อบังคับที่ 44 ให้ดี ต้องวินิจฉัยให้ดี
ทำให้นายฉลาด วินิจฉัยดำเนินการตามที่นายวิสุทธิ์อภิปรายทันที ทำให้นายภราดร กล่าวทักท้วงว่า “หากประธานวินิจฉัยแบบนี้ โดยไม่ฟังเหตุฟังผล ผมไม่สามารถที่อยู่ร่วมเป็นองค์ประชุมได้ ผมขอวอล์กเอาต์”
จากนั้น นายฉลาด ได้ให้ที่ประชุมได้ดำเนินการตรวจสอบองค์ประชุมด้วยการขานชื่อ จังหวะนั้น นายวิสุทธิ์ หารือว่า เมื่อคนขอนับองค์ประชุมไม่ร่วมสังฆกรรม ออกห้องประชุมไปแล้ว ตนขอให้ดำเนินการเลือกรองประธานสภาฯ คนที่หนึ่ง ตามวาระ
ทำให้ นายกรวีร์ ลุกขึ้นยืนพร้อมกล่าวว่า “จะมาบอกว่า ผมไม่อยู่อย่างไร ผมอยู่ในห้องประชุมด้านหลัง ผมก็งงว่า ผมไม่อยู่ได้อย่างไร”
จากนั้น เริ่มนับองค์ประชุมด้วยการขานชื่อ ซึ่งต้องมีตัวแทนจากพรรคการเมืองเป็นกรรมการ แต่พรรคประชาชน โดย นายณัฐวุฒิ บัวประทุม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ชี้แจงว่า เราไม่ได้คุยเรื่องนี้กันมาก่อน ฉะนั้น พรรคขอไม่ส่งตัวแทนเข้าเป็นกรรมการนับคะแนน
จากนั้น เริ่มนับองค์ประชุมด้วยการขานชื่อเรียงตามตัวอักษร