ข่าวประจำวัน » เศรษฐกิจพินาศ !! ธนาคารยึดบ้านถึง 200%จากปีก่อน หลัง 3 รัฐบาลแก้เศรษฐกิจไม่เป็นได้แต่แจกเงิน

เศรษฐกิจพินาศ !! ธนาคารยึดบ้านถึง 200%จากปีก่อน หลัง 3 รัฐบาลแก้เศรษฐกิจไม่เป็นได้แต่แจกเงิน

8 December 2025
70   0

มติชน – ก่อสร้างและที่ดิน | นาย ต.

เมื่อเร็วๆ นี้สำนักงานพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ โดยนางสาวอ้อนฟ้า เวชชาชีวะ เลขาธิการฯ กล่าวในการแถลงภาวะสังคมไตรมาส 3/2568 ว่า ข้อมูลหนี้สินครัวเรือนที่ สศช.ติดตามข้อมูล มีประเด็นที่ต้องให้ความสำคัญ ได้แก่การเร่งให้ความช่วยเหลือลูกหนี้บ้านก่อนเข้าสู่กระบวนการบังคับคดี โดยปัจจุบันพบแนวโน้มที่อยู่อาศัยที่ถูกยึดและขายทอดตลาดเพิ่มขึ้น

ทั้งนี้ ข้อมูลจากศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) พบว่า ที่อยู่อาศัยที่ถูกยึดและขายทอดตลาดมีจำนวนทั้งสิ้น 67,641 หน่วย รวมมูลค่ากว่า 1.2 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 210.1%

บ้านที่ถูกยึดนำไปขายทอดตลาด ส่วนใหญ่เป็นบ้านหรือที่อยู่อาศัยที่ราคาไม่ถึง 1 ล้านบาท

ซึ่งสาเหตุสำคัญที่มีการยึดบ้านหรือที่อยู่อาศัยมาขายทอดตลาดเนื่องจากลูกหนี้กลุ่มนี้ขาดความสามารถในการผ่อนต่อได้หลังจากภาระดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นหลังจากการผ่อนในช่วงแรกแล้ว

เลขาธิการ สศช.เสนอว่า ต้องเร่งรัดให้มีการไกล่เกลี่ยหนี้ทั้งก่อนหรือหลังการบังคับคดี เพื่อลดผลกระทบต่อการสูญเสียที่อยู่อาศัยในกลุ่มนี้

ข่าวนี้ แม้จะแถลงโดยเลขาธิการ สศช.ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐในการแถลงประจำไตรมาส 3/2568 แต่ถูกนำเสนอเป็นข่าวผ่านสำนักข่าวน้อยมาก และในโซเชียลมีเดียยิ่งไม่มีให้เห็นเลย

การตอบสนองปัญหา “ผู้มีรายน้อยถูกยึดที่อยู่อาศัยขายทอดตลาดสูงขึ้น 2 เท่า” ของหน่วยงานของรัฐ ของรัฐบาลที่มีหน้าที่รับผิดชอบโดยตรงไม่มีเลย ทั้งที่เป็นปัญหาความเดือดร้อนร้ายแรงเรื่องที่อยู่อาศัยของคนจำนวนเรือนแสนคน

เหตุที่คนถูกยึดบ้านนำไปขายทอดตลาดนั้น เนื่องจากคนจำนวนมากในระบบเศรษฐกิจรายได้ไม่เพิ่มหรือเพิ่มต่ำ ไม่เพียงพอกับการครองชีพ ทำให้เกิดการกู้หนี้ยืมสิน หนี้สินครัวเรือนทั้งระบบเศรษฐกิจพอกพูนขึ้นสูงเกือบ 90% ของรายได้ประชาชาติ (GDP) ผลที่เกิดขึ้นสำหรับรายบุคคลผลก็คือไม่มีเงินผ่อนบ้านที่ซื้อมาแล้ว

วงจรนี้เกิดขึ้นกับการปฏิเสธปล่อยกู้สินเชื่อที่อยู่อาศัยของธนาคารมาก่อน เพราะธนาคารมีข้อมูลการผ่อนชำระและการผิดนัดชำระของลูกหนี้ทุกกลุ่ม หากกลุ่มระดับรายได้ใดผิดนัดชำระมากจะทำให้ธนาคารปฏิเสธการปล่อยกู้กับคนกลุ่มนั้นๆ ในสัดส่วนที่สูงขึ้นตามไปด้วย

ถ้าจำกันได้เมื่อ 4-5 ปีก่อนหน้าโน้น ธนาคารจะปฏิเสธการปล่อยกู้กลุ่มคนซื้อที่อยู่อาศัยระดับราคา 1-2 ล้านบาทสูงกว่ากลุ่มอื่น ปีต่อมา กลุ่มที่ซื้อ 3-4 ล้านบาทก็ถูกปฏิเสธมากขึ้น ต่อมาขยับขึ้นมาถึงกลุ่มระดับราคา 7 ล้านบาท ยังเหลือแต่กลุ่มระดับราคา 10 ล้านบาทขึ้นไปที่แบงก์ยังปล่อยกู้ดี

ซึ่งส่งผลให้บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์จำนวนมากปรับทิศทางมาทำโครงการบ้านระดับราคาสูงกันมากขึ้น

แต่ท้ายที่สุด ในปัจจุบันบ้านทุกกลุ่มระดับราคาล้วนถูกปฏิเสธการปล่อยสินเชื่อครบหมดแล้ว อัตราการปฏิเสธอาจแตกต่างกันบ้าง แต่ทุกกลุ่มราคามีถูกปฏิเสธในสัดส่วนมากพอที่ทำให้เกิดปัญหากับผู้ซื้อผู้ขาย นั่นก็แสดงว่า ธนาคารได้มองเห็นข้อมูลผิดนัดชำระหนี้ของผู้ซื้อกลุ่มระดับราคากลางๆ และสูงๆ แล้ว จึงมีการคัดกรองและปฏิเสธ

ดังนั้น ปัญหา “ผู้มีรายน้อยถูกยึดที่อยู่อาศัยขายทอดตลาดสูงขึ้น 2 เท่า” ดังกล่าวนี้ เฉพาะหน้าระยะสั้นๆ เป็นปัญหาความเดือดร้อนเรื่องที่อยู่อาศัยของผู้มีรายได้น้อย จำนวนหลักแสนหลักล้านคน

แต่ขณะเดียวกัน ก็เป็นสัญญาณบอกว่า ปัญหานี้ไม่ได้มีเพียงผู้มีรายได้น้อยเท่านั้น แต่จะลามขึ้นมากลุ่มผู้มีรายได้ปานกลาง กลุ่มคนทำธุรกิจขนาด SME ดังที่ลามกับปัญหาการปฏิเสธการปล่อยกู้มาแล้ว

ผู้จะแก้ไขปัญหาที่กล่าวมาข้างต้น มีแต่รัฐบาลเท่านั้นจึงจะบรรเทาความเดือดร้อน จึงจะแก้ปัญหาทั้งระบบได้

รัฐบาลนี้น้ำท่วมหาดใหญ่ก็ได้เห็นความสามารถในการบริหารจัดการแล้ว รอดูว่าเลือกตั้งครั้งหน้าปีหน้านี้จะมีพรรคการเมืองใดมีนโยบายเกี่ยวกับที่อยู่อาศัยหรือไม่