คลินิกชุมชนอบอุ่น กทม. สุดทน! แบกรับหนี้ผู้ป่วยบัตรทองอื้อ จ่ายน้อยกว่าค่าบริการจริง ทำงบขาดดุล แห่ออกระบบ กระทบผู้ป่วย ร้อง สธ.เร่งแก้ปัญหา
วันที่ 21 ต.ค. 2658 ที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) พญ.นันทวัน ชอุ่มทอง นายกสมาคมคลินิกชุมชนอบอุ่น พร้อมด้วย นพ.พินัย ล้วนเลิศ อนุกรรมการ อปสข.กทม. และนางศรินทร์ สนธิศิริกฤตย์ คณะอนุกรรมการควบคุมคุณภาพและมาตรฐานและผู้ประกอบการคลินิกภาคเอกชนในระบบบัตรทอง และตัวแทนคลินิกชุมชนอบอุ่นในกรุงเทพมหานคร เดินทางมายื่นหนังสือถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง ขอให้เร่งแก้ไขปัญหาระบบ “ปฐมภูมิ” เขตเมือง และทบทวนกลไกลการจ่ายงบประมาณสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กทม.
นายพินัย กล่าวว่า กลุ่มคลินิกชุมชนอบอุ่นในพื้นที่กรุงเทพมหานคร มีทั้งหมด 324 แห่ง ซึ่งที่ผ่านมามีคลินิกที่ถอนตัวออกไปแล้วหลายแห่ง ปัจจุบันถึงเหลือเพียง 260 แห่ง จึงเดินทางมาเพื่อยื่นข้อเรียกร้องให้มีการอภิบาลระบบปฐมภูมิในเขตเมืองอย่างเป็นรูปธรรม และขอให้ทบทวนการจัดสรรงบประมาณของ สปสช. ซึ่งส่งผลให้หน่วยบริการใน กทม. ขาดดุลกว่า 1,0000 ล้านบาท ในปีงบประมาณ 2567
นอกจากนี้ คลินิกเอกชนยังถูกเรียกเก็บเงินค่าส่งต่อจากโรงพยาบาล (รพ.) โดยปัจจุบันมีการคิดแบบ Point System ในการให้บริการผู้ป่วย โดยเฉลี่ยแล้วจะอยู่ 0.57 เปรียบให้เห็นภาพ เช่น รักษาไป 10,000 บาท แต่ สปสช. กลับคำนวณ Point System แล้วเอาเงินให้หน่วยบริการด้วยการคูณ 0.57 ก็จะเหลือเพียง 5,700 บาท อีกครึ่งหนึ่งทางคลินิกก็ต้องแบกรับภาระเอง ซึ่งหลายแห่งก็ไม่ไหว นอกจากนั้น เมื่อคำนวณระบบดังกล่าวมา สปสช. ก็มาเรียกเงินคืนจากคลินิกอีก ซึ่งจะเหมือนกับกรณีของ รพ.มงกุฎวัฒนะ ทำให้เกิดเป็นปัญหาเรื่องงบขาดดุล
โดย รมว.สธ. มอบหมายให้ นพ.โสภณ เอี่ยมศิริถาวร หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะรักษาราชการรองปลัดสธ. พร้อมด้วย นพ.เกษม ตั้งเกษมสำราญ ผู้ตรวจราชการฯ ดูแลเขตสุขภาพที่ 13 กรุงเทพมหานคร
“ข้อเสนอคือ ควรเยียวยาและจ่ายคืนคลินิก และร่วมกันตั้งคณะทำงานหาทางออกร่วมกัน และใช้โมเดล รพ.นพรัตนราชธานี เพื่อแยกวงเงินชัดเจน คือ งบรักษา และงบส่งต่อออกจากกัน จัดเป็นโซนในการรักษาให้งบประมาณเพื่อดำเนินการเป็นโซนๆ ซึ่งจะแบ่งหน้าที่ชัดเจน หากสุดท้ายไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลย ปัญหาต่างๆ ก็จะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายคลินิกก็จะลาออกจากระบบบัตรทองเพิ่มขึ้น”
“โดยปี 2568 ลาออกจากบัตรทอง 25 แห่ง รวมทั้งรพ. 1 แห่ง หากไม่แก้ไขปี 2569 ก็จะเกิดปัญหาอีก ปัจจุบันมีคลินิกในกทม.อยู่ที่ 250 กว่าแห่ง แต่ประชาชนรับผลกระทบแล้ว 2.2 แสนคน ซึ่งกระจายทุกโซนของกทม.” นพ.พินัย กล่าว
นางศรินทร์ กล่าวว่า ในวันนี้เราจะขอมาคุยกันในแง่ของการแก้ปัญหา จึงมีการเสนอ 4 ข้อหลัก คือ 1.ขอให้ รมว.สาธารณสุข ในฐานะประธานบอร์ดสปสช. พิจารณาทบทวนงบประมาณปี 2566-2567 ให้เป็นธรรม และโปร่งใสกับคลินิกชุมชนอบอุ่น ซึ่งเป็นหน่วยบริการในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ
2.ปรับระบบการจ่ายเงินและส่งต่อผู้ป่วยให้เหมาะกับบริบทของเมือง สนับสนุนให้เกิดรูปแบบการรักษา ส่งต่อแยกค่าเหมาจ่ายรายหัวให้คลินิกโดยทางคลินิกไม่ต้องแบกรับภาระค่าส่งต่อ เช่นเดียวกับรูปแบบ รพ.นพรัตนราชธานี
3.จัดทำระบบ Risk-adjusted capitation สะท้อนต้นทุนจริงของคลินิกเอกชนในเขตเมือง
และ 4.จัดตั้งเครือข่ายคลินิกบัตรทอง Plus เพื่อยกระดับขีดความสามารถของคลินิกปฐมภูมิเขตเมือง โดยการจ่าย On top ให้กับหน่วยบริการปฐมภูมิศักยภาพสูง
ด้าน พญ.นันทวัน กล่าวว่า สมาคมคลินิกชุมชนอบอุ่น ขอเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรี และ รมว.สาธารณสุข 3 เรื่องหลัก คือ 1.ตรวจสอบการใช้เงินของ สปสช. และเส้นทางการเงินของ สปสช. ว่ามีผลประโยชน์ทับซ้อนได้หรือไม่ เพราะ สปสช.เป็นทั้งหน่วยงานกำหนดนโยบาย คุมงบประมาณปีละ 2.6 แสนล้านบาทมามากกว่า 20 ปี จ่ายเงินงบฯ และตรวจสอบงบฯ ขององค์กรเอง จึงอยากให้ตรวจสอบเพื่อความโปร่งใส ซึ่งที่ผ่านมาก็เคยยื่นเรื่องถึงสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน ผู้ตรวจการแผ่นดิน เรื่องก็เงียบหายไปนานกว่า 8 เดือนแล้ว
2.ของบฯ กลางมาเยียวยาหน่วยบริการปฐมภูมิ โดยไม่มีข้อแม้ เพราะหน่วยปฐมภูมิช่วยดูแลคนไข้ ช่วยลดความแออัดให้กับโรงพยาบาล จึงควรได้รับการช่วยเหลือ ไม่ควรให้หน่วยบริการต้องรับภาระ และ 3.ใช้โมเดล รพ.นพรัตน์ โดยแยกงบฯ รักษา กับ งบฯ ส่งต่อ ซึ่งมีความชัดเจนในการบริหารจัดการ
ขณะที่ นพ.เกษม กล่าวว่า จากการรับฟังในวันนี้ เข้าใจสภาพปัญหาที่เกิดขึ้น และจะนำปัญหาของทางคลินิกและข้อเสนอนำเรียน รมว.สาธารณสุข ในฐานะประธานบอร์ดสปสช. ซึ่งแนวทางที่จะทำได้ก็ต้องมีการตั้งคณะทำงานร่วมกัน และต้องหาทางในการเยียวยา อาจเป็นไปได้ที่จะใช้งบกลาง ซึ่งก็ต้องพิจารณาว่า จะดำเนินการอย่างไร แต่ทั้งหมดต้องเสนอเรื่องให้ทางรมว.สาธารณสุขพิจารณาก่อน