รัฐประหาร(แบบดั้งเดิม) Vs รัฐประหาร(เงียบ)
ต้นทุนของรัฐประหารสูงขึ้นเรื่อย ๆ แต่ความเป็นไปได้ที่จะเกิดรัฐประหารก็สูงขึ้นเรื่อย ๆ เช่นกัน
อัษฎางค์ยมนาค #อ่านเกมอำนาจ
ผมนิยมประชาธิปไตย และไม่ได้นิยมการทำรัฐประหาร แต่ผม
สังหรณ์ใจว่าสถานการณ์เมืองไทยยังไงต้องจบด้วยรัฐประหาร และจะมีรัฐประหารไปจนกว่าแดงส้มจะจบสิ้นซากจริงๆ
เหตุปัจจัยที่ทำให้รัฐประหารยัง “เป็นไปได้”
• Polarization (ความขัดแย้งแบบแบ่งขั้ว): สีแดง–ส้ม vs. ฝ่ายอนุรักษนิยม สร้าง “zero-sum politics”
• Weak Institutions (สถาบันการเมืองไม่เข้มแข็ง)
• Military’s Political Role (บทบาทกองทัพในโครงสร้างรัฐ) กองทัพยังมีทั้งอำนาจทางตรง (กำลังพล) และทางอ้อม (เครือข่ายธุรกิจ/การเมือง)
เงื่อนไขใหม่ในยุคปัจจุบัน:
• Global Norms: ประชาคมโลก โดยเฉพาะสหรัฐ–EU ใช้แรงกดดันด้านเศรษฐกิจและสิทธิมนุษยชนมากขึ้น รัฐประหารยุคนี้จะถูก sanction หนัก → ต้นทุนสูงกว่ายุคก่อน
• Digital Politics: สังคมไทยหลังปี 2563 เชื่อมต่อโลกออนไลน์มหาศาล การปิดกั้นด้วยกำลังทหารแบบเดิมจะควบคุมความชอบธรรมได้ยากขึ้น
• Generational Shift: คนรุ่นใหม่มองรัฐประหารเป็น “ทางตัน” ไม่ใช่ “ทางออก”
อย่างไรก็ตาม ถ้าให้สรุปแบบนักรัฐศาสตร์
รัฐประหารในไทยยัง “มีความเป็นไปได้สูง” ในฐานะกลไกฉุกเฉินของชนชั้นนำ โดยเฉพาะถ้าสถานการณ์เข้าสู่ deadlock ที่ระบบเลือกตั้งไม่สามารถแก้ปัญหาความขัดแย้งได้ แต่ในขณะเดียวกัน “ต้นทุน” ของรัฐประหารก็สูงขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งในประเทศและระหว่างประเทศ
ดังนั้น สังหรณ์ของผมไม่ใช่เรื่องเลื่อนลอย มันสอดคล้องกับประวัติศาสตร์ โครงสร้างอำนาจและสถานการณ์ในยุคปัจจุบันจริง ๆ
ต้นทุนของรัฐประหาร(แบบดั้งเดิม) สูงขึ้นเรื่อย ๆ แต่ความเป็นไปได้ที่จะเกิดรัฐประหาร(แบบดั้งเดิม) ก็สูงขึ้นเรื่อย ๆ เช่นกัน
รัฐประหาร(แบบดั้งเดิม) Vs รัฐประหาร(เงียบ)
ความเสี่ยงรัฐประหารยังไม่หายไป แต่รูปแบบ “รัฐประหารเงียบ” จะมีน้ำหนักมากที่สุดในทศวรรษนี้ เพราะสังคมไทยและเศรษฐกิจโลกกดดันจน “รถถังดิบ ๆ” อาจไม่ใช่เครื่องมือที่ยั่งยืน บางคนอาจคิดว่าการ “หายไปสิ้นซาก” ของแดง–ส้มแทบเป็นไปไม่ได้ แต่สิ่งที่เป็นไปได้คือ ถูกบั่นทอนหรือ fragment ซ้ำ ๆ ด้วยกลไกรัฐประหารเงียบ ที่เกิดขึ้นแล้วและจะยังอยู่ต่อไปตราบใดที่แดง–ส้มยังไม่สิ้นซาก