ศาลฎีกาฯ ไต่สวน 3 แพทยสภา ยืนยันตรงกัน อาการป่วย “ทักษิณ” ไม่จำเป็นต้องนอนโรงพยาบาล ด้าน “วิญญัติ” เตรียมนำ“วิษณุ” ขึ้นไต่สวน 30 ก.ค.นี้
วันนี้ (25 ก.ค.68) ที่ศาลฎีกา แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ถนนราชดำเนินใน ศาลนัดไต่สวนคดีหมายเลขดำที่ บค.1/2568 กรณีตรวจสอบข้อเท็จจริงการบังคับโทษคดีถึงที่สุด นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โดยวันนี้เป็นการไต่สวนพยานในกลุ่มของแพทยสภา จำนวน 3 ปาก เกี่ยวกับอาการเจ็บป่วยของจำเลย
พยานปากที่ 1 เป็นอุปนายกแพทยสภา ได้ให้ความเห็นหลังอ่านเอกสารทางการแพทย์เกี่ยวกับการรักษาตัวนายทักษิณว่า นายทักษิณมาโรงพยาบาลตำรวจด้วยอาการเฝ้าระวังอาการโรคหัวใจ แต่เมื่อมาถึงกลับได้รับการตรวจรักษาจากแพทย์อีกอาการหนึ่งที่ไม่ร้ายแรง ซึ่งไม่จำเป็นต้องนอนโรงพยาบาล โดยพยานปากนี้ได้ทำเอกสารชี้แจงรายละเอียกถึงคำศัพท์ทางการแพทย์รวมทั้งความเห็นยื่นต่อศาลและศาลรับไว้ นอกจากนี้ ได้ให้ความเห็นเกี่ยวกับยารักษาโรคของนายทักษิณ รวมถึงใบเสร็จที่ต้องระบุถึงชื่อยา พร้อมตอบคำถามของนายวิญญัติ และยอมรับว่าไม่ทราบระบบและห้องปฏิบัติการของโรงพยาบาลตำรวจ
ส่วนพยานปากที่ 2 เป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์และไอซียู ให้ความเห็นในทำนองเดียวกันว่า การรักษาจำเลยไม่จำเป็นต้องรักษาตัวที่โรงพยาบาล สามารถไปกลับได้
ขณะที่พยานปากที่ 3 เป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านออร์โธปิดิกส์ เบิกความว่า การรักษาไม่ใช่การรักษาแบบเร่งด่วน สามารถรอการผ่าตัดได้ โดยส่วนใหญ่แพทย์มักให้การรักษาเบื้องต้นด้วยการบำบัดและการทานยาก่อนการผ่าตัด หากผ่าตัดจะเป็นการผ่าตัดเล็กไม่เร่งด่วน ซึ่งสามารถรักษาตัวแบบไปกลับได้ ไม่จำเป็นต้องนอนที่โรงพยาบาล อีกทั้งการตรวจอาการแน่นหน้าอกก็ไม่พบความเกี่ยวข้องกับโรคที่แพทย์โรงพยาบาลราชทัณฑ์กังวล และแพทย์โรงพยาบาลตำรวจก็ไม่ได้ให้การรักษาอาการดังกล่าว จึงสามารถกลับไปอยู่ที่เรือนจำได้
ทั้งนี้ ภายหลังเบิกความพยานเสร็จทั้ง 3 ปาก ศาลมีคำสั่งให้ไต่สวนพยานบุคคลต่อในวันที่ 30 ก.ค. เวลา 09.30 น. โดยจะเป็นการไต่สวน นายวิษณุ เครืองาม
ต่อมานายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความส่วนตัวของนายทักษิณ ให้สัมภาษณ์ว่า การไต่สวนวันนี้เป็นการไต่สวนตัวแทนของแพทยสภา ซึ่งเดิมตนเห็นว่ามีตัวแทนทั้งหมด 6 ราย แต่ศาลพิจารณาแล้วจะไต่สวนแค่ 3 ราย โดยก่อนการไต่สวนในวันนี้ ตนได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงหลายเรื่องเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ของแพทยสภา หากทางฝ่ายนั้นนำอคติทางการเมืองเข้ามาปนเปื้อน ตนเชื่อว่าศักดิ์ศรีของแพทยสภาอาจจะลดน้อยลง หรืออาจจะไม่เหลือเลยก็ได้ วันนี้ตนก็พยายามถามพยานทั้ง 3 ปากว่า มีส่วนเกี่ยวข้องกับการลงมติลงโทษแพทย์ของโรงพยาบาลตำรวจหรือไม่ ซึ่งมีหนึ่งในพยานไม่ขอตอบคำถามของตน ตนก็เชื่อว่ามีความเกี่ยวข้อง อย่างไรก็ตาม นั่นก็เป็นกระบวนการของแพทยสภา ซึ่งแพทย์ของโรงพยาบาลตำรวจสามารถใช้สิทธิ์ทางปกครองได้อยู่แล้ว
นายวิญญัติ กล่าวอีกว่า ส่วนการไต่สวนตนคงไม่ลงรายละเอียด เพราะต้องปฏิบัติตามคำสั่งของศาล แต่โดยรวมตนเห็นว่าข้อเท็จจริงที่เป็นที่สงสัยของคนทั้งประเทศและผู้ที่สนใจคือ การให้การของแพทยสภาเองก็ยอมรับว่านายทักษิณมีอาการป่วยหลายโรคจริง ทั้งโรคเรื้อรังและโรคที่เกิดขึ้นโดยเฉียบพลัน ซึ่งกรณีที่เป็นโรคเฉียบพลันเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ก็นำส่งมารักษาที่โรงพยาตำรวจ ตนจึงพยายามถามเกี่ยวกับมาตรฐานและการตรวจรักษาของแพทย์ พยานให้ความเห็นตรงกันว่าอาการเฉียบพลันหรือกำเริบของโรคดังกล่าวมีจริงหรือไม่ ซึ่งเป็นความจำเป็นที่จะต้องนอนโรงพยาบาล ส่วนการนอนที่ชั้น 14 หรือมีห้องอื่นที่ไม่ใช่ห้องฉุกเฉินนั้นก็มีความชัดเจนเช่นกัน ซึ่งอาจารย์แพทย์ท่านหนึ่งก็ให้ความเห็นว่าที่โรงพยาบาลอื่นๆ ก็มีห้องที่เป็นห้อง VIP และไม่ได้จัดเป็นห้องฉุกเฉินเช่นกัน ทั้งหมดนี้ตนเห็นว่า แพทย์ทั้ง 3 ราย ให้ความเห็นเกี่ยวกับโรคที่ไม่ร้ายแรง แต่ไม่ได้พูดถึงโรคร้ายแรง
ตนอยากให้ลองนึกดูว่าถ้าญาติใกล้ชิดป่วยบ้างจะทำอย่างไร จะต้องส่งตัวออกไปรักษาไหม ตนไม่ได้เรียกร้องว่าจะต้องมาเห็นใจนายทักษิณ แต่ตนพูดถึงกรณีทั่วไป ที่ถ้าไม่เจอกับตัวเองก็คงไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไร
เมื่อถามว่า เหตุผลที่ของฝั่งพยานและจำเลยได้อธิบายไป น้ำหนักพอหรือไม่ นายวิญญัติ กล่าวว่า เรื่องนี้มีสภาพบังคับในเรื่องที่ศาลกำหนดวันไต่สวนอยู่แล้ว ซึ่งวันนี้เป็นวันสุดท้ายของพยานที่ศาลได้ออกหมายเรียกมาให้การต่อศาล ครั้งหน้าจะเป็นครั้งสุดท้ายซึ่งเป็นพยานฝ่ายจำเลย ตนคิดว่าไม่น่าจะข้ามไปถึงเดือน ส.ค. โดยนายวิษณุเป็นพยานที่ประจักษ์ข้อเท็จจริงและรู้ถึงการกลับมาประเทศไทย การรับตัว และข้อเท็จจริงต่างๆ ที่ปรากฏอาการป่วยของนายทักษิณ ซึ่งเป็นการป่วยที่ต้องสืบค้นสาเหตุให้ได้ว่าเป็นจริงหรือไม่ และที่สำคัญแพทยสภาไม่เคยตำหนิมาตรฐานดุลยพินิจทางการแพทย์ว่าไม่ถูกต้องอย่างไร แต่มีความเห็นเชิงตรงข้ามเกี่ยวกับการปฏิบัติของแพทย์แต่ละคนเท่านั้น ซึ่งในการไต่สวนครั้งสุดท้ายตนเชื่อว่าการให้ข้อเท็จจริงของนายวิษณุ จะเป็นประโยชน์ในการทำความเห็นของศาลต่อไป
เมื่อถามว่า นายทักษิณจะเข้าฟังการไต่สวนในครั้งสุดท้ายหรือไม่ นายวิญญัติ กล่าวว่า ครั้งหน้านายทักษิณก็ได้รับอนุญาตจากศาลไม่ต้องเข้าฟังการไต่สวนเช่นเดิม จะมีแต่ทีมทนายความและพยานเท่านั้นที่เข้ามาฟังการไต่สวน และหลังจากนั้นคาดว่าศาลจะนัดฟังคำสั่งต่อไป
เมื่อถามว่า มีข้อสังเกตอย่างไรว่าหลักฐานบางอย่างทำให้ปิดประตูเรื่องนี้สำหรับนายทักษิณไปแล้ว นายวิญญัติ กล่าวว่า ข้อสังเกตเหล่านั้นมีมาโดยตลอดทั้งการข่มขู่ว่าจะโดนอย่างนั้นอย่างนี้ ทั้งเรื่องการชี้นำสังคม ซึ่งตนไม่สบายใจ และตนมองว่าที่สังคมไทยแตกแยกทุกวันนี้ เพราะบุคคลบางกลุ่มมีพฤติกรรมแบบนี้ ตนไม่อยากไปโต้เถียง เพราะตนรู้ว่าใครทำอะไรบ้าง และมีหน้าที่แค่พิสูจน์กับทำหน้าที่ในศาล ตนถึงไม่ให้ความเห็นของศาลในที่สาธารณะเลย เชื่อว่าความจริงก็คือความจริง ส่วนความเห็นของฝ่ายนั้นจะเป็นอย่างไรจะเป็นการปิดฝาโลงไหมก็เป็นเรื่องของฝ่ายนั้น
เมื่อถามว่า ในฐานะที่เป็นทนายความมองว่าหลักฐานต่างๆ หนักแน่นพอหรือไม่ นายวิญญัติ กล่าวว่า ตนถือว่าเป็นการพิสูจน์ความจริงของหน่วยงานต่างๆ และสถาบันการแพทย์ อาการป่วยของนายทักษิณมานำเสนอต่อศาล ซึ่งตนถือว่าครบถ้วนแล้ว ส่วนประเด็นภาวะวิกฤติหรือฉุกเฉินเป็นเรื่องที่ไม่ใช่ประเด็นหลัก แต่เป็นเรื่องที่อยู่ในศักยภาพของโรงพยาบาลราชทัณฑ์หรือไม่ ตนเชื่อว่าชัดเจนหมดแล้ว และมีความจริงปรากฎอยู่