ข่าวประจำวัน » “หายนะหาดใหญ่: จากคำว่า ‘เอาอยู่’ สู่การล่มสลายที่ไม่อาจกู้คืน”

“หายนะหาดใหญ่: จากคำว่า ‘เอาอยู่’ สู่การล่มสลายที่ไม่อาจกู้คืน”

27 November 2025
17   0

ผลพวงจากคำว่า เอาอยู่ และความมั่นใจแบบผิดๆ สั่งการคลาดเคลื่อน ทำให้ต้องสังเวยชีวิตและเมืองหาดใหญ่

อ่านเรื่องนี้แล้วหดหู่ใจอย่างบอกไม่ถูก เมืองหาดใหญ่ไม่น่าจะต้องราพณาสูร และสูญเสียมหาศาลเช่นนี้ หากผู้นำ “อ่านข้อมูลเป็น” และ “สั่งการถูกต้อง”

นี่คือเรื่องจริงของคนพื้นที่หาดใหญ่ ที่ใช้ชื่อเฟซบุ๊คว่า Khanin Khanungwanitkul เขาเล่าจุดเริ่มต้นหายนะครั้งนี้ไว้เป็นอุทาหรณ์ว่า

..

ขอบคุณทุกความห่วงใยที่ถามกันเข้ามาครับ ผมปลอดภัยดี แต่ถามว่าหนักแค่ไหน บางคนบอกดูจากข่าวดูน่ากลัวมาก ตอบได้เลยว่าในพื้นที่มันน่ากลัวและหนักหนากว่าที่เห็นในข่าวอีกครับ

ราพณาสูร น่าจะเป็นคำที่แสดงนิยามของน้ำท่วมครั้งนี้ได้ดีที่สุด บางคนสูญเสียแทบทุกสิ่งที่สร้างมาทั้งชีวิต

  • ทุกฤดูฝน ชาวหาดใหญ่จะฟังเทศบาลเป็นหลัก เพราะส่วนกลาง เช่น กรมอุตุ จะใช้คำซ้ำๆ ที่พิมพ์ในประกาศเช่น ระวังน้ำท่วมเฉียบพลัน ดินถล่ม ซึ่งบางครั้ง ตกแค่เล็กน้อย กรมอุตุก็ใช้คำพูดที่ไม่ต่างกัน ไม่ได้สื่ิอถึงความรุนแรง แต่เทศบาลจะสื่อสารโดยใช้ระบบ สีธง ซึ่งชาวหาดใหญ่จะเข้าใจว่าคืออะไร
  • ในรอบนี้ มีระบบแจ้งเตือนจากส่วนกลางก่อน แต่.. เทศบาลกลับสื่อสารไปคนละทาง แม้ทุกคนได้รับสัญญาณเตือน แต่เทศบาลกลับยังบอกประชาชนว่า ธงเขียว
  • สิ่งที่ตามมาคือ คนหาดใหญ่ก็ต้องเชื่อสิ่งที่เทศบาลสื่อสารมาโดยตลอดทั้งชีวิต และมองคำเตือนที่ดังจากในระบบเปนแค่ข้อความที่เหมือนคำเตือนทุกๆครั้งของกรมอุตุ
  • วันศุกร์ 21.00 น. ผมได้รับข่าวว่าคอหงส์ ยกธงแดง สิ่งที่ทำคือ รีบบอกพ่อว่า คอหงส์ ธงแดง ป๊าเอารถเก็บที่สูงก็ดี แต่หาดใหญ่ยังโอเค นายกเทศบาลบอกเอาอยู่
  • 5 นาทีหลังวางสาย พ่อโทรมาบอกน้ำเต็มถนนในเมืองแล้ว แต่อาจจะเป็นแค่น้ำระบายไม่ทันเพราะฝนหนักมาก หลังจากนั้นไม่ถึงชั่วโมงทราบว่าหาดใหญ่ขึ้นธงเหลือง ผมรีบขับเพื่อจะเข้าบ้าน แต่ทางถูกตัดขาดเรียบร้อยระหว่าง จาก ม. สงขลานครินทร์ เข้าเมือง
  • ไม่เกินชั่วโมง ทั้งเมืองเริ่มโกลาหล และข่าวก็ประกาศธงแดงแทบในทุกพื้นที่ของหาดใหญ่ และผมคลาดกับพ่อแม่โดยสมบูรณ์
  • จากธง เขียว -> แดง เวลาน้อยมาก แทบไม่มีใครเตรียมอะไรทันแน่นอน
  • วันอาทิตย์ น้ำเริ่มลด ผมรีบกลับบ้านเพื่อจะพาพ่อเข้ามาใน มหาวิทยาลัย แต่สิ่งที่ได้คำตอบคือ ในวิทยุบอกน้ำเริ่มลดแล้ว ทางเทศบาล กับ นายกเทศมนตรีบอก เป็นแค่น้ำหลากรอระบายมันลงเร็ว พรุ่งนี้ทุกอย่างก็เป็นปกติ (แต่ขณะนั้นทุก model forecast ว่าฝนชุดใหญ่กำลังจะมาอีก)
  • แทนที่จะเตือนประชาชนให้เตรียมรับน้ำมหาศาลอีกระลอก กลับบอกในแง่ดีว่าทุกอย่างจะคลี่คลาย
  • เย็นวันนั้นฝนเริ่มกระหน่ำอีก ผู้คนที่เริ่มทำความสะอาดบ้าน และพร้อมตื่นมาทำงานกลับพบว่าน้ำเริ่มทะลักเข้าบ้านอีกครั้งอย่างไม่รู้ตัว น้ำมาเร็วมาก หลายคนเข้าบ้านไปช่วยครอบครัวขนของขึ้นชั้น 2 แล้วออกมาไม่ได้ ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็ว และระบบไฟ ระบบสื่อสารก็ถูกตัดขาดอย่างสิ้นเชิง
  • น้ำท่วมขึ้นสูงจนมิดชั้น 2 หลายคนที่ติดอยู่ออกมาไม่ได้ รวมถึง หมอ อาจารย์แพทย์ ที่รู้จัก ขณะนี้ก็ไม่ทราบชะตากรรม ได้เห็นโพสต์ขอความช่วยเหลือ ว่าน้ำกำลังท่วมคนในบ้านออกมาไม่ได้เพราะหน้าต่างเป็นลูกกรง เสียงขอความช่วยเหลือถูกตะโกน ออกทางหน้าต่างไปทั้งเมือง แต่เรือที่จะช่วยเหลือกลับแทบไม่มี
  • คนส่วนใหญ่ไม่ได้ตุนเสบียงแม้แต่น้อย รวมถึงพ่อ แม่ที่บ้าน ก็แทบติดต่อไม่ได้ ไม่รู้ชะตากรรม

คำถาม

  • ทำไมระบบแจ้งเตือนเทศบาลรอบนี้มันถึงแย่ได้ขนาดนี้ ทำไมกล้าพูดว่า “เอาอยู่” มันคือชีวิตคนทั้งเมือง เอามาทำเป็นเล่น งูๆ ปลาๆ แบบนี้ได้เหรอ น้ำท่วมมันเป็นภัยธรรมชาติไม่มีใครโทษใครได้ เพราะครั้งนี้มันหนักจริง แต่สิ่งนึงที่ความเสียหายมากขนาดนี้ คือ ข่าวที่ออกมาจากเทศบาลเพื่อหน้าตาหรืออะไรก็ตาม
    คณะทำงานหาดใหญ่ที่ดูพยากรณ์ปริมานฝนไม่เป็น มันจะควรมาทำงานเพื่อหาดใหญ่เหรอ
  • ส่วนกลางก็แย่ไม่ต่างกัน ทุกคนยืนดูการผัดข้าว แทนที่จะมารีบช่วยชีวิตคน การถ่ายภาพมันสำคัญกว่าชีวิตคนสินะ เข้าวันที่ 2-3 ยังแทบไม่มี response จากหน่วยงาน

ร่วมกันช่วยหาดใหญ่เถอะครับ ไม่รู้ว่าเมืองนี้จะยังกลับมาได้อีกมั้ย แต่มันหนักหนาจริงๆ หนักจนบรรยายไม่ได้ มีอะไรช่วยได้อยากให้ร่วมกันครับ เพราะมันไม่เหลืออะไรแล้วจริงๆ

อย่างที่ อ.ศศิน แกว่าไว้
ไทยกำลังเผชิญ “การล่มสลายเชิงสถาบัน (Institutional Collapse)ในระบบน้ำ”

ซึ่งเกิดจาก 3 แรงที่ชนกันแบบครบสูตร ได้แก่

1) การเมืองแทรกซึมระบบราชการระดับผู้เชี่ยวชาญ ทำให้ผู้ที่ไม่มีความรู้ด้านเทคนิคขึ้นมาคุมงาน การพยากรณ์ บัญชาการผิดตั้งแต่ต้นทาง

2) คนรู้จริงถูกกันออก ไม่ได้อยู่ในโต๊ะตัดสินใจ พอถึงนาทีวิกฤติ จังหวะการตัดสินใจผิดซ้ำแบบเดิมทุกปี

3) ระบบข้อมูลบัญชาการล้าหลังไป 10–20 ปี เตือนภัยช้า ระบายไม่ตรงจังหวะ ท่วมซ้ำ เสียหายซ้ำทั้งที่รู้ล่วงหน้า

นี่ไม่ใช่ปัญหาธรรมชาติอย่างเดียว แต่เป็น “ปัญหาเชิงสถาบัน” ที่สะสมมาเป็นสิบปี

และะถึงจุดวิกฤติจากปัญหาการเมืองที่มีผลประโยชน์จากการซื้อขายตำแหน่งผู้บริหารในแต่ละหน่วยราชการทุกแห่ง ทำให้คนมีความสามรถ รู้จริง ในระบบราชการไม่ได้ทำงานตัดสินใจ

#Marsonline