เมื่อ Democracy กลายเป็น Scamocracy สู่การล่มสลายของ “รัฐศาสตร์การเมือง” (ไทย)
เมื่อระบบการเมืองเปลี่ยนผ่านจาก “Democracy” ประชาธิปไตย (วาทกรรม) ไปสู่ “Scamocracy” (ประชาธิปไตยมายาหริอ ประชาธิปไตยฉ้อฉล) เป็นประเด็นเชิงยุทธศาสตร์ที่มีความสำคัญอย่างยิ่งในสังคมการเมืองโลกยุคปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศที่มีกระบวนการประชาธิปไตยที่ยังไม่เข้มแข็งหรือถูกกัดกร่อนเฉกเช่น ประเทศไทย
คำว่า Scamocracy หมายถึงระบบการเมืองที่ใช้กลไกและรูปแบบของประชาธิปไตยเป็นเครื่องมือในการหลอกลวงประชาชน เพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับการคงอยู่และสืบทอดอำนาจเพื่อผลประโยชน์ของชนชั้นนำหรือกลุ่มทุน โดยมิได้มีเจตนาในการรับใช้ประชาชนอย่างแท้จริง เสมือนหนึ่งคือ “ระบบเผด็จการในคราบประชาธิปไตย” โดยการยึดประชาธิปไตยด้วยกลไกประชาธิปไตยที่มีการเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญครบถ้วน หากแต่กระบวนการเหล่านั้นถูก “บิดเบือน” หรือ “ออกแบบ” ให้เอื้อต่อการรักษาอำนาจของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง (เช่น รัฐธรรมนูญที่เอื้อต่อการสืบทอดอำนาจ, การตั้งองค์กรอิสระที่ขาดความเป็นกลาง) การโกงที่เกิดขึ้นจึงชอบด้วยกฎหมายแต่ผิดศีลธรรม เกิดการเมืองในฐานะธุรกิจฉ้อฉลที่การเมืองไม่ใช่สนามการต่อสู้ทางอุดมการณ์แต่กลายเป็นการ “ซื้อขาย” ทางการเมืองตั้งแต่การซื้อเสียงเลือกตั้งไปจนถึงการซื้อระบบทั้งหมดเพื่อคงอำนาจ
อำนาจไม่ได้มาจากเสียงข้างมากของประชาชน แต่มาจาก “ตลาดมืดทางการเมือง” ที่มีทุน(ดำ)เป็นผู้ขับเคลื่อน มีการใช้เทคโนโลยีและวาทกรรมมายาเป็นเครื่องมือทางโซเชียลมีเดียและ AI ในการสร้างภาพลักษณ์ปลอมเพื่อทำให้ภาพลักษณ์สำคัญกว่าความจริง และใช้วาทกรรมประชานิยมในการซื้อใจประชาชนโดยไม่แตะต้องโครงสร้างปัญหาที่เน่าเฟะ ซึ่ง “ประชาชน” มีสิทธิ์เลือกแต่ไม่มีอำนาจกำหนดโดยประชาชนยังคงไปใช้สิทธิ์เลือกตั้ง แต่ผลลัพธ์ที่ได้มาถูกควบคุมและถูกจำกัดด้วยกลไกทางกฎหมายหรืออำนาจที่มองไม่เห็นทำให้ประชาชนไม่มีพลังในการเปลี่ยนแปลงจริง
ทั้งนี้ การเปลี่ยนผ่านสู่ Scamocracy นำมาซึ่งผลกระทบที่ซับซ้อนและร้ายแรงต่อทั้งระบบการเมืองและโครงสร้างทางสังคมหลายประการเช่น การสูญเสียความชอบธรรม (Legitimacy Deficit) เมื่อรัฐบาลหรือนักการเมืองได้อำนาจมาด้วยกลไกที่ถูกมองว่าบิดเบี้ยว แม้จะถูกต้องตามกฎหมาย แต่ความเชื่อมั่นและศรัทธาของประชาชนต่อระบบการเมืองโดยรวมจะเสื่อมถอยอย่างรุนแรง แม้รัฐบาลอาจดูมีเสถียรภาพในการบริหาร แต่ไร้ซึ่งเสถียรภาพในสายตาประชาชน นำไปสู่ความขัดแย้งทางการเมืองที่รุนแรงและยืดเยื้อ
เพราะประชาชนรู้สึกว่าถูกหลอกใช้ สถาบันการเมืองต่างๆ (รัฐสภา, องค์กรอิสระ) ถูกลดทอนบทบาทให้เป็นเพียง “เครื่องมือ” ในการรักษาผลประโยชน์ของชนชั้นนำแทนที่จะเป็นกลไกในการตรวจสอบและรับใช้ประชาชน ในขณะที่ “กฎหมาย” และ “รัฐธรรมนูญ” ถูกใช้เป็น “อาวุธ” ในการจัดการหรือกำจัดคู่แข่งทางการเมืองและสร้างเกราะป้องกันให้กับกลุ่มอำนาจ ซึ่งเป็นการทำลายหลักนิติรัฐ (Rule of Law) อันชอบธรรมโดยไม่ต้องรับผิดชอบต่อความผิดพลาดหรือการทุจริตที่เกิดขึ้นด้วยเพราะถูกปกป้องด้วยกลไกที่ตนเองออกแบบขึ้นมา รวมไปถึงการกำหนดนโยบายสาธารณะที่มุ่งเน้น “ประชานิยม” และการสร้างภาพเพื่อซื้อคะแนนเสียงระยะสั้น มากกว่าการแก้ไขปัญหาสังคมและเศรษฐกิจเชิงโครงสร้างอย่างเป็นรูปธรรมและยั่งยืน
จากสถานการณ์เช่นนี้ในมิติทางด้านสังคมอาจนำเข้าสู่ “ภาวะรัฐล้มเหลวทางศีลธรรม” ที่ความดี ความจริง และความยุติธรรมถูกบิดเบือน การทุจริต การโกง การคอรัปชั่นกลายเป็นสิ่งที่สังคมยอมรับได้เมื่อมันถูกห่อหุ้มด้วยวาทกรรม(ของกฎหมาย)ที่สวยงาม การใช้ข่าวเท็จและข้อมูลปลอม (Fake News) เพื่อสร้างความเกลียดชังและการแบ่งฝักแบ่งฝ่าย ทำให้ความขัดแย้งทางความคิดรุนแรงขึ้น และบ่อนทำลายความสามัคคีในสังคม คนรุ่นใหม่จะ “หมดศรัทธา” ในระบบการเมืองและจะนำไปสู่สูญเสียคุณค่าทางปริวัตรการเมืองเมื่อคนดีไม่อยากลงสู่สนามการเมืองที่สกปรกทำให้ระบบการเมืองก็ยังถูกควบคุมโดยทุนกลุ่มเดิมที่ผูกขาดทางเศรษฐกิจและการจัดสรรทรัพยากรของประเทศจะถูกจัดสรรเพื่อตอบสนองผลประโยชน์ของกลุ่มอำนาจและพวกพ้องแทนที่จะเป็นการกระจายความมั่งคั่งในระบบเศรษฐกิจฐานรากและพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนอย่างถูกต้อง เหมาะสมและเป็นธรรม จนอาจจะกล่าวได้ว่า Scamocracy เป็นเสมือนหนึ่งโรคร้ายที่กลายพันธุ์ของประชาธิปไตยที่อันตรายกว่า “ระบอบเผด็จการ” ทั่วไป
เพราะมันใช้หลักการของเสรีภาพในการทำลายสิทธิและเสรีภาพ นำพาโลกเข้าสู่ Global Scam Order ที่ผู้นำต่างฝ่ายต่างอ้างความถูกต้องทางศีลธรรมแต่กลับแสวงหาอำนาจเพื่อผลประโยชน์ของตนเองอย่างแท้จริง
แนวทางที่จะทำให้สังคมพ้นจาก Scamocracy กระทำได้โดยการกลับไปสู่หลักการพื้นฐานของประชาธิปไตยที่แท้จริง ด้วยการส่งเสริมและสนับสนุนการสร้างพลเมืองที่มีพลัง
สนับสนุนให้ภาคประชาสังคมและคนรุ่นใหม่เข้ามามีส่วนร่วมอย่างเข้มแข็งในการตรวจสอบและผลักดันการปฏิรูปเชิงโครงสร้าง รวมถึงสร้างความตระหนักรู้และทักษะในการรู้เท่าทันสื่อและข้อมูลปลอม (Media and Digital Literacy) เพื่อให้ประชาชนสามารถแยกแยะความจริงออกจากภาพลวงการต่อสู้กับวาทกรรมมายาด้วยแสงของ “ความจริง ความดี และความงามของการเมืองในฐานะการรับใช้ส่วนรวม” ตามหลักการรัฐศาสตร์การเมืองเดิมแม้จะเป็นแสงสว่างที่ริบหรี่อยู่ปลายอุโมงค์อันไกลโพ้นก็ตาม
ในวันพรุ่งนี้ “คนรุ่นลูกรุ่นหลาน” จะไม่ต้องก่นด่าสาปแช่ง..”บรรพบุรุษจัญไร”…
คารม ทองหนูรุ่ง 17 พฤศจิกายน 2568
เอกสารอ้างอิง
กุลชาติ ทักษไพบูลย์. คอร์รัปชันกับสังคมไทย : วาทกรรมโลกเสรีนิยมใหม่กับหนทางแก้ไขที่ขวางต้านประชาธิปไตย. (2565) https://acc.mfa.go.th/th/content/92917 (วันที่ 9 พฤศจิกายน 2568)
ธีรภัทร เสรีรังสรรค์. รัฐศาสตร์กับความมั่นคงของการเมืองไทย. มหาวิทยาลัยราชภัฎสุรินทร์, (2562)
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jhssrru/article/view/234206 (วันที่ 9 พฤศจิกายน 2568)
สุวิทย์ เมษินทรีย์. การเมืองไทยต้องเปลี่ยน “เกม” เพื่อเลี่ยงการเป็นชาติที่ล้มเหลว. (2568) www.facebook.com/Dr.Suvit Maesincee (9 พฤศจิกายน 2568)
สุวิทย์ เมษินทรีย์. Scamocracy : เมื่อประชาธิปไตยกลายเป็นธุรกิจหลอกประชาชน. (2568) www.facebook.com/Dr.Suvit Maesincee (9 พฤศจิกายน 2568)
ศูนย์ความรู้เพื่อความร่วมมือในการต่อต้านคอร์รัปชันและส่งเสริมธรรมาภิบาลในระดับภูมิภาค. คอร์รัปชันไทยภายใต้ร่มเงาของนักธุรกิจ-นักการเมือง. (2567)
https://kraccorruption.com/knowledge/krac-corruption-101-political-corruption (วันที่ 9 พฤศจิกายน 2568)
BBC NEWS ไทย. การเมืองไทย 2567 ปีแห่งการเปลี่ยน “ผู้นำ”. (2567)
https://www.bbc.com/thai/articles/c9dpn6w8n2jo (วันที่ 9 พฤศจิกายน 2568)
The101.world. การเมืองไทย 2567 : ประชาธิปไตยใต้กำกับของชนชั้นนำ. (2567) https://www.the101.world/recap-thai-politics-2024/ (วันที่ 9 พฤศจิกายน 2568)
