ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนThai Lawyers for Human Rights (TLHR) –
#ม็อบ10สิงหา เมื่อปี 2564 ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้โทษของจำเลย จากเดิมลงโทษในสองข้อหาจำคุก 6 ปี 4 เดือน เห็นว่าศาลชั้นต้นพิพากษาเกิน แก้เป็นลงโทษบทที่หนักที่สุดฐานวางเพลิงเผาโรงเรือนอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน คงจำคุก 6 ปี เมื่อพิจารณาถึงข้อหาและเหตุแห่งคดีแล้วไม่มีเหตุอันสมควรให้ลดโทษ
จำเลยถูกคุมขังระหว่างอุทธรณ์ หลังศาลชั้นต้นลงจำคุก 6 ปี 4 เดือน รอกว่า 2 ปี นัดพิพากษาชั้นอุทธรณ์
คดีนี้มี พ.ต.ท.ธนศักดิ์ สว่างศรี เป็นผู้กล่าวหา สืบเนื่องจากกิจกรรม #คาร์ม็อบใหญ่ไล่ทรราช เมื่อวันที่ 10 ส.ค. 2564 เพื่อขับไล่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น พร้อมกับยืนยันข้อเรียกร้องอื่น ๆ ขบวนรถเริ่มที่แยกราชประสงค์ เคลื่อนไปอาคารชิโน-ไทย ทาวเวอร์, บ้านธรรมนัส พรหมเผ่า และอาคารคิง พาวเวอร์ ก่อนยุติตอน 17.06 น. โดยหลังจากนั้นมีเหตุการณ์ชุมนุมของมวลชนอิสระบริเวณแยกดินแดง ทำให้มีการจับกุมประชาชนตามมา แยกเป็นหลายคดี
ในส่วนของประวิตร ได้ถูกออกหมายจับในคดีเกี่ยวกับการเผาป้อมจราจร ที่บริเวณใต้ทางด่วนดินแดง โดยเขาถูกจับกุม เมื่อวันที่ 20 ส.ค. 2564 ก่อนได้รับการประกันตัวในวันถัดมา
จากนั้นเมื่อวันที่ 10 พ.ย. 2564 อัยการได้ยื่นฟ้องคดีนี้ต่อศาลอาญา ในข้อหาร่วมกันวางเพลิงเผาทรัพย์, ร่วมกันวางเพลิงเผาโรงเรือนฯ, ร่วมกันมั่วสุมชุมนุม และฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ โดยระบุว่า เมื่อวันที่ 10 ส.ค. 2564 ประวิตรได้ร่วมชุมนุมทำกิจกรรมทางการเมือง หลังกลุ่มยุติการชุมนุมที่บริเวณหน้า King Power จำเลยกับพวกประมาณ 20 คน ไม่ยอมเลิกและร่วมชุมนุมอยู่บริเวณใต้ทางด่วนดินแดง จากนั้นจำเลยกับพวกได้ร่วมกันวางเพลิงเผาป้อมจราจรตำรวจ คิดค่าเสียหายเป็นเงินจำนวน 993,000 บาท
ต่อมา วันที่ 11 ก.ค. 2566 ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษฐานฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ให้จำคุก 8 เดือน ส่วนข้อหาอื่น ๆ ให้ลงโทษในข้อหาร่วมกันวางเพลิงเผาโรงเรือนฯ ซึ่งเป็นบทลงโทษที่มีโทษหนักที่สุด ให้จำคุก 12 ปี จำเลยให้การรับสารภาพ เป็นเหตุให้บรรเทาโทษลดโทษ 1 ใน 3 คงจำคุกรวม 6 ปี 4 เดือน โดยไม่รอการลงโทษ พร้อมให้ชดใช้ค่าสินไหมรวม 434,060.25 บาท
จากนั้นประวิตรไม่ได้ประกันตัวในชั้นอุทธรณ์เรื่อยมา ก่อนได้ยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาต่อมา และมีนัดฟังคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ราวสองปีเศษหลังถูกคุมขัง
.
ศาลอุทธรณ์แก้โทษ เห็นว่าศาลชั้นต้นพิพากษาเกิน เป็นจำคุก 6 ปี ส่วนค่าเสียหายทางแพ่งให้เป็นไปตามศาลชั้นต้น
วันนี้ (20 พ.ย. 2568) ที่ห้องพิจารณาที่ 609 ทนายความจำเลยเดินทางมาถึงห้องพิจารณาตามเวลานัดหมาย แต่ยังไม่เห็นว่าประวิตรถูกเบิกตัวมา จึงได้สอบถามกับเจ้าหน้าที่หน้าบัลลังก์ เจ้าหน้าที่แจ้งว่ามีการเบิกตัวมาจากเรือนจำ แต่ยังไม่ได้นำตัวขึ้นมา
เวลา 09.14 น. ประวิตรถูกนำตัวขึ้นมายังห้องพิจารณา โดยสวมเสื้อผู้ต้องขังสีน้ำตาลด้านหลังสกรีนประโยคด้วยสีขาวว่า “เรือนจำกลางคลองเปรม” สวมกางเกงขาสามส่วนสีน้ำตาล ข้อเท้าสองข้างถูกพันธนาการด้วยกุญแจเท้ามีโซ่ห้อยเชื่อมกัน โดยเขาได้ผูกเชือกช่วยพยุงโซ่ไว้ขณะเดิน
10.19 น. หลังดำเนินคดีก่อนหน้าเสร็จสิ้น ผู้พิพากษาได้เรียกคดีประวิตร และเริ่มสอบถามว่าศาลชั้นต้นพิพากษาว่าอย่างไร ใครเป็นผู้อุทธรณ์ และมีฝ่ายใดมาศาลบ้าง ในวันนี้มีเพียงจำเลยและทนายจำเลยมาศาล ส่วนอัยการโจทก์และผู้เสียหาย (สำนักงานตำรวจแห่งชาติ) ไม่ได้มาฟังคำพิพากษาอุทธรณ์ในวันนี้
จากนั้นศาลได้แจ้งคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ โดยสรุปให้ฟังถึงผลคำวินิจฉัยว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าผิด พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ และลงโทษฐานวางเพลิงเผาโรงเรือนฯ รวมลงโทษจำคุก 6 ปี 4 เดือน ศาลอุทธรณ์แก้เป็นลงโทษจำคุก 12 ปี ลดเหลือจำคุก 6 ปี ส่วนค่าปรับและที่เหลือเป็นตามเดิมที่ศาลชั้นต้นพิพากษา วันนี้ศาลจะออกคำสั่งบังคับคดีต่อไป
จากนั้นทนายความจึงได้ขอคำพิพากษามาอ่านอีกรอบ โดยในรายละเอียดสรุปว่า ศาลอุทธรณ์ได้ตรวจสำนวนและเห็นว่าคำพิพากษาศาลชั้นต้นที่พิพากษาลงโทษฐานฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ให้จำคุก 8 เดือน เป็นคำพิพากษาเกินคำขอ
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นลงโทษจำคุกจำเลยฐานฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ มาตรา 9 วรรคหนี่ง (2) และประมวลกฎหมายอาญามาตรา 215 วรรคแรก มาตรา 217 และมาตรา 218 (4) การกระทำของจำเลยเป็นการกระทำกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ลงโทษฐานวางเพลิงเผาโรงเรือนอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ตามมาตรา 218 (4) ซึ่งบทที่หนักที่สุด ลงโทษจำคุก 6 ปี ส่วนที่เหลือเป็นไปตามศาลชั้นต้น
ด้วยการกระทำของจำเลยเป็นการชุมนุมที่ไม่สงบ มีการเผาและทำลายทรัพย์สินของราชการ ซึ่งข้อหาดังกล่าวอาจต้องวางโทษประหารชีวิต การที่เดิมศาลชั้นต้นลงโทษจำคุก 12 ปี และลดโทษ 1/3 เนื่องจากขณะที่กระทำความผิดจำเลยอายุ 19 ปีเศษ ยังมีความอ่อนด้อยในประสบการณ์ชีวิต จึงเป็นการลงโทษที่ถูกต้องแล้ว
.
หลังอ่านคำพิพากษาเสร็จสิ้น ทนายได้คุยกับประวิตรถึงความเป็นไปได้ของ พ.ร.บ.สร้างเสริมสันติสุข ว่าคดีของเขาจะเข้าเกณฑ์นิรโทษกรรมหรือไม่ เขาได้พูดกับทนายความว่าคงไม่หวังกับการนิรโทษกรรม แต่ยังหวังว่าปีหน้าอาจจะทำเรื่องขอพักโทษได้ เนื่องจากถูกคุมขังมาเกิน 2 ปี แล้ว ก่อนที่เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์จะนำตัวเขาออกจากห้องพิจารณาไป
สำหรับ “ประวิตร” ก่อนถูกคุมขังประกอบอาชีพเป็นพนักงานขนสินค้าในโรงงานน้ำมันแห่งหนึ่งใน จ.สมุทรปราการ อาศัยอยู่กับแม่ ภรรยา และลูกอีก 2 คน วัย 3 ปี และ 4 เดือน (อายุเมื่อปี 2566) ปัจจุบันภรรยาของเขามีภาระต้องดูแลลูก และดูแลครอบครัวเพียงลำพัง



