ฐานเศรษฐกิจ – นายกฯ “อนุทิน” สั่งกระทรวงอุตสาหกรรมทบทวนประกาศปรับขึ้นราคาน้ำตาลหน้าโรงงาน หลัง “สอน.” ออกประกาศใหม่ขยับขึ้น 3 บาทต่อกิโลฯ ขัดนโยบายลดภาระค่าครองชีพประชาชนข ขณะการเมืองเริ่มร้อนก่อนยุบสภา-เลือกตั้งต้นปีหน้า
จากที่สำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย (สอน.) ภายใต้กระทรวงอุตสาหกรรม ได้ออกประกาศปรับราคาน้ำตาลทรายภายในประเทศขึ้น 3 บาทต่อกิโลกรัม เพื่อใช้เป็นฐานคำนวณราคาอ้อยและผลตอบแทนระหว่างชาวไร่กับโรงงานในฤดูการผลิตปี 2568/2569
โดยในประกาศฉบับแรกของ สอน. ลงวันที่ 24 ตุลาคม 2568 กำหนดราคาน้ำตาลทรายขาวที่กิโลกรัมละ 21 บาท และน้ำตาลทรายขาวบริสุทธิ์กิโลกรัมละ 22 บาท มีผลตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2568 เป็นต้นไป
ต่อมา เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2568 สอน. ได้ออกประกาศฉบับใหม่ ปรับราคาน้ำตาลทรายขาวเป็น 24 บาท และน้ำตาลทรายขาวบริสุทธิ์เป็น 25 บาทต่อกิโลกรัม มีผลตั้งแต่วันที่ 8 พฤศจิกายนเป็นต้นไป
อย่างไรก็ตาม การประกาศปรับราคาครั้งนี้ถูกตั้งข้อสังเกตจากหลายฝ่ายว่าไม่เป็นไปตามขั้นตอนปกติ และอาจมีเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน เนื่องจากน้ำตาลทรายยังคงเป็น 1 ใน 59 สินค้าและบริการควบคุมของกระทรวงพาณิชย์
ซึ่งต้องมีการหารือกับกระทรวงพาณิชย์ก่อน และต้องผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ (กกร.) หากจะมีการปรับราคาขายปลีกแหล่งข่าวจากวงการอ้อยและน้ำตาลเผยว่า การปรับราคาครั้งนี้มีเหตุผลจากต้นทุนการผลิตอ้อยที่สูงขึ้น โดยราคาอ้อยขั้นต้นฤดูการผลิตใหม่คาดว่าจะอยู่ที่ตันละ 900 บาท ขณะที่ต้นทุนจริงอยู่ที่ 1,358 บาทต่อตัน ซึ่งหากไม่ปรับราคาน้ำตาลหน้าโรงงานขึ้น ชาวไร่อ้อยจะขาดทุน
อย่างไรก็ดีทันทีที่ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ทราบเรื่องมีรายงานว่านายอนุทิน ได้สั่งการตรงถึงกระทรวงอุตสาหกรรม ภายใต้การกำกับของ นายธนกร วังบุญคงชนะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ให้ทบทวนประกาศโดยด่วน เนื่องจากอาจกระทบค่าครองชีพของประชาชน และขัดต่อมาตรการช่วยลดภาระค่าครองชีพที่รัฐบาลกำลังเดินหน้า เช่น โครงการ “คนละครึ่งพลัส”
ทั้งนี้ในคืนวันที่ 7 พฤศจิกายนที่ผ่านมา สอน. ได้ออกประกาศฉบับใหม่ ยกเลิกราคาที่ปรับขึ้น และกลับไปใช้ราคาเดิมทันที คือ น้ำตาลทรายขาว 21 บาทต่อกิโลกรัม และน้ำตาลทรายขาวบริสุทธิ์ 22 บาทต่อกิโลกรัม มีผลตั้งแต่วันที่ 8 พฤศจิกายน 2568 เป็นต้นไป
แหล่งข่าวระบุว่า การสั่งเบรกขึ้นราคาน้ำตาลครั้งนี้ ถือเป็นหนึ่งในความพยายามของรัฐบาลอนุทิน ที่ต้องการรักษาภาพลักษณ์และคะแนนนิยม ก่อนการยุบสภา ซึ่งคาดว่าจะเกิดขึ้นภายในเดือนมกราคม 2569 และเตรียมเลือกตั้งใหญ่ในวันที่ 29 มีนาคม 2569ขณะที่สถานการณ์การเมืองที่เริ่มร้อนแรง โดยเฉพาะกระแสข่าวพรรคเพื่อไทยเตรียมยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลในเดือนธันวาคม ทำให้รัฐบาลต้องเร่งสร้างผลงานและควบคุมไม่ให้ราคาสินค้าจำเป็นพุ่งสูง ซึ่งอาจกระทบฐานเสียงของพรรคก่อนเข้าสู่สนามเลือกตั้ง
