ศาลฎีกาพิพากษายืนลงโทษจำคุก 2 เดือน ปรับ 12,000 บาท “อั๋ว จุฑาทิพย์” กรณีชุมนุม #saveวันเฉลิม เมื่อปี 2563 โดยโทษจำคุกให้รอการลงไว้ 2 ปี ศาลระบุ ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น จำเลยเป็นผู้ร่วมจัดกิจกรรมชุมนุม มั่วสุม เสี่ยงต่อการแพร่ระบาดโรคโควิด-19 และฝ่าฝืนคำสั่งไม่ยินยอมพิมพ์ลายนิ้วมือ โดยไม่มีเหตุอันสมควร
3 ก.ย. 2568 ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนรายงานศาลแขวงปทุมวันนัดหมายฟังคำพิพากษาศาลฎีกา คดีของ “อั๋ว” จุฑาทิพย์ ศิริขันธ์ บัณฑิตจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และสมาชิกกลุ่มสหภาพนักเรียน นิสิต นักศึกษาแห่งประเทศไทย (สนท.) กรณีเข้าร่วมกิจกรรม #Saveวันเฉลิม ที่หน้าหอศิลปวัฒนธรรมกรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 5 มิ.ย. 2563 เพื่อทวงความเป็นธรรมให้กับ “วันเฉลิม สัตย์ศักดิ์สิทธิ์” ที่ถูกบังคับสูญหายไปในกัมพูชา ช่วงเย็นของวันก่อนหน้าที่จะจัดกิจกรรม
ศาลระบุ ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น จำเลยเป็นผู้ร่วมจัดกิจกรรมชุมนุม มั่วสุม เสี่ยงต่อการแพร่ระบาดโรคโควิด-19 และฝ่าฝืนคำสั่งไม่ยินยอมพิมพ์ลายนิ้วมือ โดยไม่มีเหตุอันสมควร
อั๋ว จุฑาทิพย์ ได้ยื่นฎีกาในคดีนี้ต่อ โดยประเด็นหลักที่จุฑาทิพย์โต้แย้ง ได้แก่ ประเด็นเรื่องการเป็นผู้จัดกิจกรรมชุมนุม รวมถึงประเด็นการไม่ยินยอมพิมพ์ลายนิ้วมือ โดยขอให้กลับคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์
ศูนย์ทนายฯ ระบุ คำพิพากษาฎีกาสรุปได้ว่า จำเลยที่ 2 (อั๋ว จุฑาทิพย์) ไม่ได้ปฏิเสธในประเด็นเรื่องการเป็นผู้นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ โดยการโพสต์เฟซบุ๊กเชิญชวนคนทั่วไปให้มาร่วมการชุมนุม และเมื่อถึงเวลาตามนัดหมาย จำเลยที่ 2 ก็ได้ปรากฏยังสถานที่จัดการชุมนุม ขึ้นกล่าวปราศรัยเป็นคนแรก นอกจากนี้จำเลยที่ 2 ยังได้ตระเตรียมภาพถ่ายของผู้ลี้ภัยทางการเมืองนำไปวางไว้บริเวณที่จัดการชุมนุม จึงเชื่อได้ว่า จำเลยที่ 2 กับพวกมีส่วนร่วมในการจัดกิจกรรมชุมนุม
แม้ว่าสถานที่จัดกิจกรรมชุมนุมจะเป็นสถานที่เปิดโล่ง แต่ผู้ชุมนุมในวันดังกล่าวมีอยู่ประมาณ 50 – 70 คน ไม่มีการเว้นระยะห่างทางสังคม จึงเป็นการจัดกิจกรรมชุมนุม ในลักษณะมั่วสุมแออัดเพิ่มความเสี่ยงในการแพร่ระบาดโรคโควิด-19 โดยไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ อันเป็นการฝ่าฝืนความตาม มาตรา 9 แห่ง พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ พ.ศ. 2548
กรณีที่จำเลยที่ 2 ฎีกาว่าขณะเกิดเหตุตามฟ้องสถิติการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ลดลงจนเหลือศูนย์ ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า การแพร่ระบาดที่ลดลงดังกล่าว เพียงแค่แสดงให้เห็นว่ามาตรการด้านสาธารณสุขในการควบคุมโรคโควิด-19 ตามมาตรา 9 แห่ง พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ พ.ศ. 2548 เป็นมาตรการที่ใช้ได้ผล แต่หากมีการรวมกลุ่มหรือชุมนุมก็มีโอกาสที่การแพร่ระบาดจะกลับมาเพิ่มมากขึ้นอีกได้ เพราะสถานการณ์การแพร่ระบาดทั่วโลกยังไม่ดีขึ้น
ส่วนประเด็นที่จำเลยฎีกาว่าการไม่พิมพ์ลายนิ้วมือไม่ใช่การฝ่าฝืนคำสั่งของเจ้าพนักงานโดยไม่มีเหตุแก้ตัวอันสมควร ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า คำสั่งของเจ้าพนักงานที่ให้จำเลยพิมพ์ลายนิ้วมือ เป็นไปเพื่อประโยชน์ต่อการเก็บรวบรวมพยานหลักฐาน การยืนยันตัวตน และใช้ตรวจสอบประวัติอาชญากร การไม่พิมพ์ลายนิ้วมือของจำเลยที่ 2 จึงเป็นการขัดคำสั่งของพนักงานเจ้าหน้าที่ที่ใช้อำนาจตามกฎหมาย โดยไม่มีเหตุอันสมควร อันเป็นการกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 368
ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
ก่อนหน้านี้ ศาลชั้นต้นและอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสองในข้อหากระทำความผิดตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ มาตรา 9 (2) และมาตรา 18 จำคุก 2 เดือน ปรับ 10,000 บาท โดยให้รอการลงโทษจำคุกไว้ 2 ปี ส่วนจุฑาทิพย์ พิพากษาว่ากระทำความผิดอีกหนึ่งกระทง ฐานฝ่าฝืนคำสั่งตามเจ้าพนักงาน ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 368 ลงโทษ ปรับ 2,000 บาท
CR: เพจอีจัน