สำนักข่าวอิศรารายงานว่า…
ชาญชัย-สมชาย-ทนายนกเขา-เจษฏ์ โทณะวณิก-พะจุณณ์ ตามประทีป’ ยื่นหนังสือกระทุ้ง ป.ป.ช. ทวงถามความคืบหน้าสอบคดีจัดทำงบฯปี 68 แจกเงินหมื่น ขัดรธน.ม.144 กล่าวหา ‘แพทองธาร-สส.-สว.’ ยกคณะ หลังเวลาผ่านมาหลายเดือน แจงมีอำนาจยื่นเรื่องสอบได้ ผ่านช่องทางกฎหมายคนละช่องทางการร้อง สส.-สว. มีบทบังคับย้อนหลังการกระทำผิด -เรียกคืนงบที่ใช้ไปโดยมิชอบแก่รัฐตามอํานาจหน้าที่ได้ด้วย
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า เมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2568 นายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษ (สส.) พรรคประชาธิปัตย์ นายสมชาย แสวงการ อดีตสมาชิกวุฒิสภา (สว.) นายนิติธร ล้ำเหลือ นักเคลื่อนไหว นายเจษฏ์ โทณะวณิก นักวิชาการทางกฎหมาย พล.ร.อ.พะจุณณ์ ตามประทีป ได้ลงนามในหนังสือยื่นถึงคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพื่อติดตามความคืบหน้าเรื่องการแจ้งการจัดทำโครงการหรืออนุมัติจัดจัดสรรเงินงบประมาณโดยรู้ว่า มีการดำเนินการอันเป็นการฝ่าฝืนบทบัญญัติรัฐธรรม มาตรา 144 วรรคหนึ่ง และวรรคสอง หรือกรณีการนำงบประมาณไปใช้กระตุ้นเศรษฐกิจผ่านโครงการเติมเงิน 10,000 บาท หรือแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต พร้อมยื่นข้อเท็จจริงข้อกฎหมาย และเอกสาร เพื่อเป็นพยานหลักฐานประกอบการสอบสวนเพิ่มเติม
หนังสือนายชาญชัย และพวก ระบุว่า หลังจากที่ ยื่นเรื่องต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. ให้ตรวจสอบกรณีนี้ในช่วงปลายเดือนเมษายน 2568 ปัจจุบันระยะเวลาล่วงเลยมาระยะหนึ่งแล้ว จึงขอทราบความคืบหน้าการดำเนินการสอบสวนเกี่ยวกับเรื่องนี้ อีกทั้ง ปัจจุบันมีการเผยแพร่ข้อมูลในสื่อมวลชน ซึ่งอาจก่อให้เกิดความเข้าใจผิดว่า พวกตนไม่มีอานาจยื่นเรื่องดังกล่าว คณะกรรมการ ป.ป.ช. ไม่มีอำนาจสอบสวนในกรณีที่ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีได้ผ่านเป็นกฎหมายแล้ว ซึ่งข้อเท็จจริงและกฎหมายไม่ได้เป็นตามข้อมูลที่เผยแพร่ดังกล่าว
นายชาญชัยและพวก ระบุว่า การยื่นหนังสือของตนและพวกให้ ป.ป.ช. สอบเรื่องนี้ เป็นการยื่นผ่านช่องทางที่ 2 ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 วรรคสี่ วรรคห้า และวรรคหกนี้ ซึ่งได้บัญญัติขึ้นมาในปี 2560 เพื่อให้เป็นมาตรการตรวจสอบและเป็นบทบังคับย้อนหลังการกระทำผิดได้ด้วย อันเป็นคนละช่องทาง คนละกรณีการร้องของ สส.หรือ สว. ตามวรรคสาม
หนังสือดังกล่าว ยังระบุด้วยว่า “ในการนี้ ข้าฯ ขอนำส่งเอกสารเกี่ยวกับความมุ่งหมายและคำอธิบายรายมาตราของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ในส่วนของมาตรา 144 แก่คณะกรรมการ ป.ป.ช.เพื่อเป็นพยานหลักฐานใช้ประกอบการสอบสวน ซึ่งได้แนบมาด้วยท้ายหนังสือนี้ โดยเจตนารมณ์ของ มาตรา 144 ตามเอกสารความมุ่งหมายและคำอธิบายรายมาตรา มีวัตถุประสงค์สำคัญเพื่อป้องกันมิให้สมาชิกสภา ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ ใช้ตำแหน่งหน้าที่แสวงหาประโยชน์จากงบประมาณของรัฐโดยมิชอบ
พร้อมทั้งกำหนดกลไกให้มีการชดใช้เงินงบประมาณที่ถูกใช้ไปโดยฝ่าฝืนกฎหมาย พร้อมดอกเบี้ย อีกทั้ง ยังมุ่งหมายให้มีการตรวจสอบย้อนหล้งได้แม้ว่างบประมาณนั้นจะได้รับความเห็นชอบและใช้บังคับแล้ว เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณเป็นไปโดยสุจริต โปร่งใส และเพื่อรักษาทรัพยากรของรัฐให้กลับคืนสู่แผ่นดิน
มาตรา 144 วรรคหนึ่ง วรรคสอง มีที่มาจากแนวคิดซึ่งใช้มาตั้งแต่รัฐธรรมนูญปี 2520 2540 และ 2550 เพื่อป้องกันการแปรญัตติงบประมาณในลักษณะเพิ่ม แก้ไข เปลี่ยนแปลง หรือโยกงบไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ เช่น ใช้เงินชำระหนี้ไม่ครบถ้วน หรือหลีกเลี่ยงกฎหมายที่กำหนดการใช้จ่ายเพื่อไม่ให้เป็นภาระงบประมาณต่อเนื่อง รัฐธรรมนูญจึงกําหนดห้ามการแปรญัตติดังกล่าว ยกเว้นการปรับลดงบต้นเงิน ดอกเบี้ย หรือเงินที่กฎหมายกําหนดไว้โดยชัดเจน
ต่อมามีพัฒนาการในรัฐธรรมนูญฉบับหลัง เนื่องจาก สส. นํางบไปใช้ ดูแลพื้นที่ตนแต่ใช้เกินขอบเขตและเป็นช่องทางทุจริต รัฐธรรมนูญ ปี 2560 จึงบัญญัติห้ามการใช้ในลักษณะ ดังกล่าวขึ้น และกําหนดมาตรการบังคับและบทลงโทษให้การกระทําที่ฝ่าฝืนเป็นความผิด มีการกําหนดโทษ และให้สิทธิยื่นเรื่องต่อ ป.ป.ช. ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต มาตรา 88 และเพิ่มมาตรการให้ติดตามเรียกเงินงบประมาณที่ใช้ผิดวัตถุประสงค์คืนได้ภายในอายุความ 20 ปี และห้ามผู้กระทําผิดกลับมาดํารงตําแหน่งหรือสมัครรับเลือกตั้งอีก เพื่อป้องกันการใช้ตําแหน่งเดิมสร้างความเสียหาย
เช่น หากพ้นตําแหน่งจากการใช้งบผิด ต้องเว้นช่วงก่อนลงสมัครใหม่ หรือเพิกถอนสิทธิสมัครตลอดชีวิตในกรณีทุจริตร้ายแรงตามมาตรา 235 และมีกลไกเชื่อมโยงกับกฎหมายอื่น คือ มาตรา 144 วรรคสี่ถึงวรรคหก จะเชื่อมโยงกับ มาตรา 88 และ 89 ของ พ.ร.ป. ป.ป.ช. โดยให้เจ้าหน้าที่ที่แจ้งการกระทําผิดพ้นความรับผิด และกําหนดวิธีดําเนินการกับเจ้าหน้าที่ที่ไม่แจ้ง รวมถึงการดําเนินคดีและติดตามความเสียหายโดยคณะกรรมการ ป.ป.ช.
ทั้งนี้ การตีความมาตรา 144 ต้องอ่านทั้งมาตราและบทกฎหมายที่ เกี่ยวข้อง ไม่สามารถแยกอ่านเฉพาะวรรคใดวรรคหนึ่งได้
ด้วยเหตุผลข้อกฎหมาย ข้อเท็จจริง และพยานหลักฐานดังกล่าว ข้าฯ ขอให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ดําเนินการสอบสวนกรณีนี้โดยพลันตามมาตรา 88 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 หากเห็นว่ามีมู ให้เสนอความเห็นต่อศาลรัฐธรรมนูญตาม มาตรา 144 วรรคสาม และดําเนินการเรียกคืนงบประมาณที่ใช้ไปโดยมิชอบคืนแก่รัฐตามอํานาจหน้าที่” หนังสือ นายชาญชัย และพวก ระบุ