สว.ด๊อกเตอร์ สมชาย แสวงการ อดีต ปธ.กรรมาธิการวุฒิสภาระบุว่า
#ระวังเสียดินแดนทางบกและในทะเล#ปราสาทตาเมืองธม #สั่งถอนทหารไทย#กองทัพยอมได้ไง
จากกรณีที่นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหมให้สัมภาษณ์ หลังเสร็จสิ้นการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไปไทย-กัมพูชา GBC:General Border Committee ว่า มีข้อตกลงกับกัมพูชาที่จะยอมให้ทหารไทยที่อยู่ที่ปราสาทตาเมืองธม ถอนกำลังออกมาเพื่อลดความขัดแย้งนั้น ต้องถือว่า เป็นการตกลงที่เสียเปรียบและอาจนำไปสู่การเสียดินแดนเช่นเดียวกับที่ไทยเคยเสียปราสาทเขาพระวิหาร ตามแผนการรุกบันได4ขั้นของกัมพูชา เพื่อนำคดีพิพาทไปฟ้องศาลโลก
กองทัพไทยจึงควรปฏิเสธข้อสั่งการดังกล่าวจากรัฐมนตรีกลาโหมรายนี้ ดังนี้
1)ปราสาทตาเมือนธม อายุเกือบ 1,000 ปี มีที่ตั้งอยู่ในช่องเขาตาเมือน (หรือช่องเขาตาเมียง) เทือกเขาพนมดงรัก ในเขตบ้านหนองคันนาสามัคคี หมู่ 8 ตำบลตาเมียง อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ ประเทศไทย อย่างชัดเจนมิได้อยู่ในดินแดนกัมพูชาหรือในพื้นที่ทับซ้อนแต่ประการใด โดยใช้แผนที่ตามหลักสากลที่ยึดการแบ่งพื้นที่ตามหลักสันปันน้ำแบ่งเขตแดนไทย-กัมพูชา
2) กรมศิลปากรได้ทำการสำรวจพบและขึ้นบัญชีเป็นโบราณสถานของไทยตั้งแต่ปี 2478 ปัจจุบันอยู่ในความดูแลของสำนักศิลปากรที่ 5 ปราจีนบุรี ซึ่งกรมศิลปากรเป็นผู้ดำเนินการบูรณะ โดยทางการกัมพูชารับรู้มาตลอด
3) วันที่ 4 สิงหาคม 2551 พลตรีโป เฮง รองผู้บัญชาการทหารภูมิภาคที่ 4 และพันเอกเนี่ยะ วงศ์ รองผู้บังคับกองพลน้อยที่ 42 กัมพูชา เคยนำกำลังทหารกว่า 50 นายพร้อมอาวุธครบมือและสื่อมวลชนกัมพูชา ขอเข้าชมปราสาทตาเมือนธม แต่ถูกทหารพรานกองร้อยจู่โจมที่ 960 กรมทหารพรานที่ 26 กองกำลัง (กกล.) สุรนารี กองทัพภาคที่ 2 (ทภ.2) ของไทย เข้าเจรจาให้ถอยร่นกลับไป พร้อมเพิ่มกำลังคุมเข้มปราสาทตาเมือนธม วางลวดหนามปิดกั้นทางขึ้นและบริเวณรอบปราสาท
4) แม้มีพื้นที่ที่ยังตกลงปักปันไม่แล้วเสร็จ เป็นพื้นที่คาบเกี่ยวด้านนอกปราสาทก็ตามฝ่ายไทยยังอนุโลมให้กัมพูชาขึ้นมาสักการะบูชาปราสาทได้ ระหว่างเวลา 09.00 – 15.00 น.ทุกวัน แต่ฝ่ายกัมพูชาต้องไม่แสดงออกสัญลักษณ์ใดๆ ปรากฏชัดเจน เมื่อมีเหตุการณ์นายทหารกัมพูชาและกลุ่มแม่บ้านขึ้นมาร้องเพลงปลุกใจ ทหารฝ่ายไทยที่รักษาพื้นที่ได้เข้าไปห้ามปรามและมีหนังสือประท้วงต่อทหารกัมพูชาอย่างน้อยถึง2ครั้งการดำเนินการเรื่องปักปันเขตแดนไทย-กัมพูชา ให้บรรลุข้อตกลงเป็นสิ่งที่ดี
แต่หลักการเที่ถูกต้องคือ การต้องไม่ถอนกำลังทหารไทยออกจากพื้นที่ที่เป็นดินแดนไทย และเมื่อการเจรจาปักปันเขตแดนที่ได้ข้อยุติประการใด ให้ถือเป็นข้อตกลงที่ทั้งสองฝ่ายจะได้สรุปร่วมกัน มิใช่การยอมถอนทหารออกมาก่อน จะทำให้เกิดการยอมรับเป็นหลักฐานตามหลักกฎหมายปิดปาก เสียดินแดนได้ในอนาคต หากฝ่ายกัมพูชานำคดีไปสู่ศาลโลกสมชาย แสวงการอดีตสมาชิกวุฒิสภาและอดีตรองประธานคณะกรรมาธิการการต่างประเทศ
สนช 3พค 2568
#ระวังประวัติศาสตร์ซ้ำรอย #เสียดินแดน #ปราสาทพระวิหาร #เกาะกูด