ข่าวประจำวัน » ค่าไฟแพง “กกพ. ปล่อยให้เอกชนรวย ประชาชนเดือดร้อน?

ค่าไฟแพง “กกพ. ปล่อยให้เอกชนรวย ประชาชนเดือดร้อน?

25 April 2025
113   0

ผู้สื่อข่าวเดลินิวส์ รายงานว่า

มหากาพย์ “ค่าไฟแพง” ถูกหยิบยกขึ้นมาพูดอีกครั้ง กลายเป็นปัญหาทุกยุคทุกสมัยของทุกรัฐบาลที่ถูกพูดถึง แต่ยังไม่มีรัฐบาลไหนแก้ได้เบ็ดเสร็จ ทุก 4 เดือนที่ถึงวงรอบการเคาะขึ้นค่าไฟ นักธุรกิจ ยันชาวบ้านก็ต้องมาคอยลุ้นกันทุกรอบ ทั้งที่ทุกรัฐบาล ต่างสัญญาจะแก้ปัญหาเรื่องค่าไฟแพง แต่หลายครั้งประชาชนก็ต้องผิดหวังกับประโยคที่ว่า เป็นสัญญาซื้อขายไฟฟ้าที่เซ็นกันมานานแล้ว ไม่สามารถแก้ไขได้ ไม่เช่นนั้นจะถูกเอกชนฟ้อง!! ประชาชนเลยต้องรับผลกระทบไปเต็มๆ

จึงมีคำถามว่า แล้วทุกวันนี้ค่าไฟที่เราจ่ายๆ กันทุกบาททุกสตางค์ เงินไปที่ไหน?? ทำไมบริษัทเอกชนด้านพลังงาน ถึงมีแต่รวย รวย รวย ผลประกอบการทะลักทะลาย

วันนี้จะมาสรุปกำลังผลิตไฟฟ้าว่า ใครมีสัดส่วนการผลิตเท่าไรกันแน่? จากเดิมการผลิตไฟฟ้าปี 43 การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) มีสัดส่วนสูงอยู่ที่ 77 % แต่สัดส่วนดังกล่าวเริ่มเปลี่ยนไปตั้งแต่ กฟผ. ประกาศรับซื้อไฟฟ้า จากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่ (ไอพีพี) เป็นครั้งแรกเริ่มตั้งแต่ปี 37 หลังจากประกาศรับซื้อจากผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก (เอสพีพี) ในปี 35เนื่องจากรัฐบาลขณะนั้นมองว่า การลงทุนโรงไฟฟ้า ต้องใช้เงินลงทุนมหาศาล จึงต้องการให้เอกชนมาลงทุนแทน แล้วให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) รับซื้อ จนล่าสุดภาคเอกชนผลิตไฟฟ้ารวมกันแล้ว พุ่งถึงสัดส่วน 55.66% ของการผลิตไฟฟ้าทั้งหมด ส่วน กฟผ. เหลือเพียงสัดส่วน 32.06% ขณะที่ทุกครั้งที่ต้องแก้ปัญหาค่าไฟแพง ก็เป็น กฟผ. อีกเช่นกัน ที่ต้องมาเป็นผู้แบกรับภาระแทนประชาชนไปก่อนทุกครั้ง เคยแบกหนี้มากกว่าแสนล้านบาทมาก่อน

สำหรับ สัดส่วนการผลิตไฟฟ้าล่าสุดของประเทศไทยในปี 67 ณ วันที่เกิดกำลังไฟฟ้าสูงสุด (พีค)ผู้ผลิตไฟฟ้า เอกชนรายใหญ่ (ไอพีพี) 18,973.50 เมกะวัตต์ สัดส่วน 37.41%การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) 16,261.02 เมกะวัตต์ สัดส่วน 32.06%

ผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก (เอสพีพี) 9,254.68 เมกะวัตต์ สัดส่วน 18.25%ผู้ผลิตไฟฟ้าต่างประเทศ  (นำเข้าและแลกเปลี่ยน) 6,234.90 เมกะวัตต์ สัดส่วน 12.29%รวม 50,724.1 เมกะวัตต์อย่างไรก็ตาม “พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค” รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พลังงาน เคยระบุบนเวทีการบรรยายหัวข้อ ‘ความมั่นคงทางพลังงานและการเปลี่ยนผ่านพลังงานในอนาคต’ ให้แก่ผู้อบรมในหลักสูตร วปอ.บอ.2 ได้ระบุหนึ่งในใจความสำคัญปัญหาค่าไฟฟ้าของไทยว่า ตอนนี้ไทยมีกำลังการผลิตประมาณ 50,700 เมกะวัตต์ ซึ่งตามกฎหมายหน้าที่ส่วนนี้ควรเป็นของ กฟผ. แต่ปัจจุบัน กฟผ. ผลิต 16,261.02 เมกะวัตต์ เอกชนรายใหญ่ผลิต 18,973.50 เมกะวัตต์

สำหรับผู้ผลิตรายเล็ก 9,254.68 เมกะวัตต์ ส่วนใหญ่เป็นการผลิตโดยใช้พลังงานสะอาด และมีปัญหาจากสัญญาที่ทำไว้ตั้งแต่เมื่อ 20 ปีที่แล้ว ซึ่งมีการจ่ายค่า ADDER หรือให้กำไรฟรี ๆ เพื่อจูงใจนักลงทุน และแทนที่จะให้สัญญาปีต่อปี ก็มีการแก้ไขจนกลายเป็นสัญญาชั่วนิรันดร์ เนื่องจากเอกชนบอกว่าต้นทุนสูงและหาคนปล่อยกู้ยาก โดยทำสัญญากันมาตั้งแต่ปี 2550 แต่ที่ร้ายแรงกว่านั้นก็คือ สัญญาเหล่านี้ไม่มีการหมดอายุ คือพอครบวาระจะต่อสัญญาโดยทันที และรัฐไม่สามารถยกเลิกสัญญาฝ่ายเดียวได้ ซึ่งสัญญาที่มีค่า ADDER นี้ เรามีมากกว่า 500 สัญญา

ปี 67 ประเทศไทยใช้ไฟฟ้าสูงสุด 36,000 เมกะวัตต์ ค่าเฉลี่ย 25,100 เมกะวัตต์ แต่เรามีกำลังการผลิตประมาณ 50,000 เมกะวัตต์ ทำให้เรามีไฟสำรองเกินกว่า 25,600 เมกะวัตต์ และมีมากกว่าครึ่งหนึ่งของกำลังการผลิตไฟฟ้าที่ไม่ต้องเดินเครื่องจักร แต่ตอนทำสัญญา เอกชนอ้างว่าการก่อสร้างโรงไฟฟ้า 1,000 เมกะวัตต์ ต้องลงทุนสูง และหากเดินเครื่องไม่เต็มกำลังการผลิต จะทำให้การชำระเงินกู้ลำบาก รัฐจึงต้องมีการจ่าย ‘ค่าพร้อมจ่าย’ ให้เต็มกำลังการผลิต ซึ่งเป็นการจ่ายเหมือนเดินเครื่องจักรปกติ และ ทั้งหมดนี้ประชาชนเป็นผู้แบกภาระ

“พีระพันธุ์” ย้ำอีกว่า นี่คือเหตุผลที่ผู้ผลิตไฟฟ้าถึงร่ำรวยมหาศาลในระยะเวลาไม่กี่ปี โดยกฎหมายของ กฟผ. มีมาตั้งแต่ปี 2511 ซึ่งสภาพการผลิตไฟฟ้า การค้า และเศรษฐกิจแตกต่างจากปัจจุบันอย่างสิ้นเชิง ซึ่งจำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลง เพราะทุกวันนี้ กฟผ. ไม่มีอำนาจในการตัดสินใจเรื่องของการผลิตไฟฟ้า โดยทุกอย่างขึ้นอยู่กับคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน หรือ กกพ. ทั้งหมด ซึ่งเป็นเรื่องแปลกที่ผู้ที่เซ็นสัญญาไม่มีอำนาจในการเจรจากำลังการผลิต

CR.dailynews