สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงเตหะราน ประเทศอิหร่าน เมื่อวันที่ 30 ก.ค.ว่ากองกำลังพิทักษ์ปฏิวัติอิหร่าน ( ไออาร์จีซี )
ออกแถลงการณ์เมื่อวันเสาร์ ว่าเรือบรรทุกเครื่องบินพลังงานนิวเคลียร์ “ยูเอสเอส นิมิตซ์” ของสหรัฐ พร้อมเรือติดตามและเฮลิคอปเตอร์นำทางอีกลำหนึ่ง เดินทางเข้ามาในทิศทางซึ่งเป็นตำแหน่งที่ตั้งของแท่นขุดเจาะน้ำมัน “เรซาลัต” ที่อยู่ห่างออกไปราว 90 กิโลเมตร จากชายฝั่งของจังหวัดฮอร์มอซกัน ทางตอนใต้ของอิหร่าน เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา แม้พาหนะทั้งสามลำไม่ได้ละเมิดน่านน้ำและน่านฟ้าของอิหร่าน แต่ไออาร์จีซีไม่อาจเพิกเฉยต่อพฤติกรรมที่สื่อถึง “การยั่วยุและข่มขู่คุกคาม” ของอีกฝ่ายได้ ละได้จัดการจนกระทั่งเรือนิมิตซ์และพาหนะติดตามทั้งหมดถอยกลับออกไป
ขณะที่กองทัพเรือสหรัฐออกแถลงการณ์ว่าเรือนิมิตซ์และเรือติดตามอยู่ระหว่างการลาดตระเวนตามปกติ ในเขตน่านน้ำสากลของอ่าวเปอร์เซีย จนกระทั่งนักบินบนเฮลิคอปเตอร์สังเกตเห็นเรือตรวจการณ์เร็วของไออาร์จีซีแล่นเข้ามาด้วยความเร็วสูง แม้ลูกเรือนิมิตซ์พยายามประกาศผ่านโทรโข่งและส่งสัญญาณเตือนผ่านคลื่นวิทยุแล้ว แต่ไม่ได้รับการตอบสนองจากอีกฝ่าย นักบินบนเฮลิคอปเตอร์จึงตัดสินใจยิงพลุแฟลร์ออกไป ซึ่งส่งผลให้เรือของไออาร์จีซียุติการแสดงท่าทีคุกคามทันที
อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ลักษณะนี้เกิดขึ้นบ่อยครั้งมากจนถือเป็น “เรื่องปกติ” สำหรับทั้งสองฝ่าย โดยเหตุการณ์ล่าสุดเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาเกิดขึ้นเพียงไม่กี่วัน หลังการเผชิญหน้าระหว่างเรือตรวจการณ์เร็วของไออาร์จีซี กับเรือลาดตระเวน “ยูเอสเอส ธันเดอร์โบลต์” ของสหรัฐ แต่สถิติการเผชิญหน้ากันระหว่างเรือของสหรัฐกับอิหร่านในอ่าวเปอร์เซียเพิ่มขึ้นจาก 23 ครั้งในปี 2558 เป็น 35 ครั้ง เมื่อปีที่แล้ว
นอกจากนี้ เหตุการณ์เผชิญหน้าครั้งล่าสุดยังเกิดขึ้นในสัปดาห์เดียวกับที่สภาคองเกรสของสหรัฐมีมติเสียงข้างมากท่วมทัน ผ่านชุดร่างกฎหมายคว่ำบาตร 3 ประเทศที่ถือเป็น “ปรปักษ์” คือรัสเซีย เกาหลีเหนือ และอิหร่าน โดยในส่วนของอิหร่านมุ่งเน้นการคว่ำบาตรเจ้าหน้าที่ระดับสูงของไออาร์จีซี ซึ่งเป็นกองทัพอิสระที่ไม่ได้อยู่ภายใต้กระทรวงกลาโหม แต่ขึ้นตรงกับผู้ดำรงตำแหน่งผู้นำสูงสุด ที่ในปัจจุบันคือ อยาตอลเลาะห์ อาลี คาเมนี
ฐิติพันธุ์ คุณดิลกมณี
สำนักข่าววิหคนิวส์