ความผิดพลาดที่มอบอำนาจให้ผู้ว่าตัดสินใจเอง กำลังสร้างความวุ่นวายในภาพรวม ที่เริ่มต้นจากอุทัยฯ และบุรีรัมย์ ที่ประกาศปิดจังหวัด โดยไม่ฟังส่วนกลาง ตอนนี้บุรีรัมย์ก็ไม่รอด มีคนติดไวรัสจนได้ แถมทั้ง 2 จังหวัดก็มิได้ปิดคนเข้าออกจังหวัดจริง ดั่งข่าวที่ออกมา
จากตัวแปรต้น 2 จังหวัด (ดูเหมือนจะดี)ทำให้จังหวัดอื่นๆ ประกาศใช้อำนาจเอง ประกาศปิด ผับ บาร์ สถานบริการ โรงหนัง ฯลฯ บีบให้ กทม.จะต้องทำบ้างในลักษณะเดียวกัน แต่ที่ถลำลึกไปมากกว่า คือ สั่งหยุดห้างสรรพสินค้า ทั้งที่ห้างมีการทำความสะอาดตลอดเวลา และไม่มีผู้ติดเชื้อในห้าง
ทำให้จังหวัดอื่นๆโดยรอบกทม. 5 จังหวัด เอาบ้างสั่งปิดห้างสรรพสินค้า จังหวัดอื่นๆ 26 สถานที่ก็ทำตาม เช่นโคราช สร้างความโกลาหลเพียงวันเดียวทั้งประเทศ
แม้ผู้ว่ากทม.จะขอสื่อระงับคำสั่งดั่งกล่าวก็สายไปเสียแล้ว ประชาชนแตกตื่น ส่วนกลางจะระงับคำสั่งก็มิได้ เพราะคำสั่งถึงประชาชนแล้ว ดันออกคำสั่งปิดห้าง แต่ให้เปิดธนาคารในห้างได้
กระทรวงสาธารณะสุข ได้ส่งหนังสือถึงผู้ว่ากทม. ถามถึงแผนการเตรียมการอพยพคน ที่แห่เดินทางออกต่างจังหวัด นับล้านคน อันจะเป็นการแพร่ระบาดโรค เพราะกทม.ปริมณฑล เป็นศูนย์กลางการแพร่ระบาด คำตอบในเวลานี้ คือ ยังมิได้คิดแผน กำลังจะคิด และยังมิได้ชี้แจง
สิ่งเหล่านี้คือคำตอบเบื้องต้นว่า เป็นหลักการปกครองที่ผิดพลาด นำหลักการบริหาร แบบมลรัฐเข้ามาปกครอง มิได้มองถึงผลกระทบต่อมลรัฐอื่นๆ ซึ่งปัจจุบันกำลังวุ่นวายในสหรัฐอเมริกา จนต้องปิดประเทศ ใช้เงินกว่า 1 แสนล้านดอลฯ ในการแก้ไขสถานการณ์
เมื่อภาครัฐสั่งปิดภาคเอกชน สิ่งที่ตามมาคือคนตกงาน การเลิกจ้างชั่วคราวจะเกิดขึ้น และจะบานปลายเป็นการเลิกจ้างถาวร คดีลัก วิ่ง ชิง ปล้น 18 มงกุฎ จะระบาดหนักมาก
ยุทธการ “ไวรัสพินาศ ประชาชนพ้นภัย” สิ่งที่ควรทำในเวลานี้คือ ต้องขอให้ประชาชนอยู่แต่ในบ้าน อย่างเดียวคงไม่เพียงพอ จำเป็นจะต้องช่วยเหลือประชาชน ผู้ประกอบการ ที่เสียหายเพราะการใช้อำนาจของรัฐ ด้วยการเยียวยา ค่าจ้างแรงงาน เพื่อพยุงสถานการณ์ ด้วยการใช้งบกองทุนประกันสังคม ที่ลูกจ้าง-นายจ้าง ได้จ่ายเงินสมทบทุกเดือน 5%จากเงินเดือน
นำมาเยียวยา จ่ายคืนให้ลูกจ้างอย่างน้อย 1-3 เดือน (เท่าอัตราเงินเดือนที่รายงานและจ่ายเบี้ยประกัน) อาจใช้วาทกรรมว่า”รัฐบาลจ้างให้หยุดงาน”
ส่วนบริษัทเอกชน ที่มิได้อยู่ในประกาศคำสั่งก็ให้ทำงานที่บ้าน แต่รัฐยังคงจ่ายค่าชดเชย เช่นกัน การให้ทำงาน เพื่อชะลอความเสียหายเชิงธุรกิจ
อาชีพหาเช้ากินค่ำ เช่น วินมอเตอร์ไซค์ Taxi ฯลฯ ก็ควรได้รับเงินชดเชย เช่นกันในอัตรา 150-300 บาท/วัน 1-3 เดือน โดยนำเงิน 1 แสนล้านที่จะแจกฟรี นำมาจ่ายตรงถึงประชาชน
โดยการจ่ายเยียวยามิให้เกิดความวุ่นวาย และเป็นการชุมนุมคนหมู่มาก ต้องให้ลงทะเบียนใน app หรือ เวบฯ โอนตรงเข้าธนาคาร ผู้ขอรับการช่วยเหลือ โดยจะสามารถจ่ายได้ เมื่อเงินงบประมาณที่ผ่านสภา มาแล้ว จะใช้ได้สิ้นเดือนมีนาคม หากไม่เพียงพอ ให้ใช้คำสั่งโยกงบประมาณ แต่ละกระทรวง ทบวง กรม ที่ใช้ในการพัฒนา มิใช่งบเงินเดือนข้าราชการ นำมาใช้จ่ายในการนี้ โดยแบ่งเป็น 3 ระยะ ระยะสั้น กลาง และยาว โดยไม่ต้องไปกู้ยืมญี่ปุ่นอีก
การป้องกันอาชญากรรม ต้องให้ตำรวจร่วมกับทหาร รับผิดชอบร่วมกัน ให้ทหารเป็นผู้ช่วยเจ้าพนักงานตามกฎหมาย หรือออก พรก.ให้ทหารเป็นเจ้าพนักงานเทียบเท่าตำรวจ เพื่อป้องกันการก่ออาชญากรรม โดยเฉพาะร้านทอง ธนาคาร จุดเสี่ยงในยามเช้า และยามวิกาล หรือ ฟื้นทำโครงการฝากบ้านไว้กับตำรวจ -ทหาร
ในยามวิกฤติเช่นนี้ เป็นโอกาสที่ดี ที่ถือว่าเป็นช่วงเวลาแห่งครอบครัว ที่ทุกคนจะได้มารวมกันอยู่กันพร้อมหน้า ช่วยดูแลให้ความรู้ซึ่งกันและกัน อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
ขณะเดียวกันยังเป็นโอกาสของคนชั้นสูง ชั้นกลาง ที่มีเงินเพียงพอในการจับจ่าย จะสามารถซื้อ บ้าน ที่ดิน รถ วัสดุก่อสร้าง ได้ในราคาถูก ส่วนคนชั้นล่างได้มีโอกาสนำโครงการเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้จริง
ในยามนี้ประชาชนกำลังเดือดร้อน ต่างรอคอยจากฟากฟ้า ที่จะรอการช่วยเหลือ เช่นกัน ทั้งหน้ากาก การช่วยเหลือผู้ยากไร้
ยามนี้สินค้าออนไลน์ ทั่วโลกยังมียอดพุ่งสูงขึ้นถึงร้อยละ 80 ทั่วโลก หากมีการส่งเสริม กระตุ้น นำสินค้าธงฟ้า มาจำหน่ายออนไลน์ โดยให้ไปรษณีย์ไทยเป็นผู้จัดส่ง ก็จะช่วยเหลือประชาชนได้สินค้าราคาถูกได้อีกทางหนึ่ง และจะต้องมีการจ้างงานเพิ่มมหาศาล จากคนที่ตกงาน หาเช้ากินค่ำ ในการจัดส่งสินค้า มากกว่า 5 หมื่น-1แสนคนถ้าบริหารเป็น
สิ่งเหล่านี้คือวิกฤติประเทศไทย แต่ในทุกวิกฤติย่อมมีโอกาส อยู่ที่ว่าใครจะมองเห็นโอกาสเหล่านั้นหรือไม่ วิสัยทัศน์ผู้นำในยามวิกฤติ จะทำให้ประชาชนเชื่อมั่น หรือ ขาดความเชื่อมั่น ก็ในยามนี้แล
“ ผู้นำที่มีวิสัยทัศน์ ย่อมพาองค์กร และองค์การรอดพ้นภัย ในยามวิกฤติ “
ดร.เทอดศักดิ์ เจียมกิจวัฒนา
22 มีนาคม 2563