ข่าวสด – นักวิชาการ ชี้ไทย-กัมพูชา ถึงจุดที่ไม่สามารถแก้ปัญหากันเองได้แล้ว แนะยังไม่สาย กลับไปใช้ข้อตกลงสันติภาพกัวลาลัมเปอร์ ให้คนกลางช่วยจับตา
วันที่ 8 ธ.ค.2568 นางพวงทอง ภวัครพันธุ์ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์เฟซบุ๊กระบุถึงสถานการณ์การสู้รบชายแดน ไทย-กัมพูชาว่า ไทยกับกัมพูชาต่างโจมตีกันไปมาว่าอีกฝ่ายเริ่มก่อน แต่ขาด “คนกลาง” และประจักษ์พยานที่น่าเชื่อถือ ช่วยยืนยันว่าใครพูดความจริงกันแน่ ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะกลไกของอาเซียน ‘ASEAN Observer Team’ ที่ทำหน้าที่เฝ้าระวังบริเวณชายแดน ล้มเหลวโดยสิ้นเชิง
ทั้งๆ ที่หลังการประชุมที่กัวลาลัมเปอร์ เมื่อวันที่ 25 ตุลาคมที่ผ่านมา ทั้งสองประเทศได้บรรลุข้อตกลงสันติภาพ โดยมีนายอันวาร์ อิบราฮิม นายกฯมาเลเซีย และนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา เป็นสักขีพยานหนึ่งในความก้าวหน้าของ peace deal นี้คือ ให้มี AOT ขึ้นมาแทนที่ Interim Monitoring Team ที่มีลักษณะชั่วคราวและไม่มีภารกิจชัดเจน
ในข้อตกลงระบุว่า AOT ประกอบด้วยตัวแทนจากประเทศอาเซียน ทำหน้าที่– ดูแลให้ทั้งสองประเทศปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงอย่างเคร่งครัด และเสนอรายงานความคืบหน้าต่ออาเซียน– ดูแลให้ทั้งสองฝ่าย ดำเนินการถอนอาวุธหนักและอาวุธทำลายล้างออกจากบริเวณชายแดน ย้ายกลับไปยังที่ตั้งปกติ โดยจะมีทีมประสานงานช่วยร่างแผนการและกำหนดเวลาการถอนอาวุธดังกล่าวแต่วันที่ 10 พ.ย. ฝ่ายไทยโดย นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ได้ประกาศระงับการปฏิบัติตาม ข้อตกลงสันติภาพ เพราะทหารไทย 2 คนเหยียบกับระเบิด และ 1 ในนั้นเสียขาหนึ่งข้าง หมายความว่า AOT ไม่สามารถปฏิบัติงานได้ต่อไปหากวันนี้ AOT ยังปฏิบัติหน้าที่อยู่ ไทยอาจมีคนกลางเป็นพยานที่น่าเชื่อถือให้กับไทยว่ากัมพูชาเป็นฝ่ายเริ่มการปะทะครั้งล่าสุดจริง แต่เมื่อไม่มีคนกลาง สองประเทศก็จะวนเวียนโจมตีกันไปมา
ถ้าจะออกจากความขัดแย้งนี้ ก็ต้องเริ่มจากทำให้ชายแดนร้อนแรงน้อยลง จนถึงขั้นสงบ แต่จะเกิดสิ่งนี้ได้ ก็ต้องมีคนกลางเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด ไม่ให้ฝ่ายใดจุดไฟความขัดแย้งขึ้นได้ง่ายๆ ฉะนั้น ดิฉันคิดว่าทั้งสองประเทศต้องกลับไปใช้ข้อตกลงสันติภาพกัวลาลัมเปอร์ มันยังไม่สายเกินไปไทยและกัมพูชา มาถึงจุดที่ไม่สามารถแก้ปัญหากันเองได้แล้ว การเจรจาทวิภาคีล้มเหลวครั้งแล้วครั้งเล่า
ขณะเดียวกันทหารทั้งสองฝ่ายก็รู้ดีว่าไม่มีใครสามารถเอาชนะอีกฝ่ายได้ด้วยกำลังอาวุธ เพราะโลกมีกลไกระหว่างประเทศที่พร้อมจะเข้ามาแทรกแซงได้เสมอ และกัมพูชาก็พร้อมจะเรียกร้องให้กลไกเหล่านี้เข้ามาช่วยเขาฉะนั้น ประชาชนไทยที่เชียร์ให้รบ ก็ต้องเข้าใจด้วยว่า “มายาคติ” ที่ว่าไทยใหญ่กว่า แข็งแรงกว่า และสามารถเอาชนะกัมพูชาด้วยสงคราม จะไม่เกิดขึ้นจริงภาคประชาชนของทั้งสองประเทศ ต้องช่วยกันผลักดันให้รัฐบาลของตน หาทางออกจากความขัดแย้งนี้อย่างจริงจัง เพราะมันไม่เป็นผลดีกับฝ่ายใดทั้งสิ้น โดยเฉพาะกับประชาชนชายแดน และเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว
