ข่าวประจำวัน » ข่าวเด่น » #โต้เกาะกระแส! เคนพอร์ช ขอโทษที่ไม่รีบเคลียร์ ยันไม่ได้อยากเกาะกระแสใครดัง (ชมคลิป)

#โต้เกาะกระแส! เคนพอร์ช ขอโทษที่ไม่รีบเคลียร์ ยันไม่ได้อยากเกาะกระแสใครดัง (ชมคลิป)

4 April 2018
686   0

เป็นครั้งแรกที่นักกีฬาฟันดาบ “เคนพอร์ช” หรือ “พอร์ช สรรเสริญ เงินรุ่งเรืองโรจน์” ได้ออกมาให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน ถึงกรณีที่มีข่าวลือว่าตกเป็นมือที่สามทำความรักของ นางเอกสาว “ญาญ่า อุรัสยา” และ “ณเดชน์ คูกิมิยะ” ต้องหยุดลง เพราะก่อนหน้านี้เจ้าตัวไม่ยอมให้สัมภาษณ์กับสื่อใดเลยและปล่อยเวลาไว้นาน เนื่องจากอยากมาตอบในงานอีเว้นท์ที่ตนรับไว้

ซึ่งล่าสุด ในงาน The Best MAN Awards of Asia in Bangkok 2018 เคนพอร์ช ได้ออกมาเปิดใจถึงเรื่องราวดังกล่าว โดยได้ขอโทษกับสิ่งที่ผ่านมาที่ไม่รีบเคลียร์ ยันไม่ได้อยากเกาะกระแสใครเพราะตนเป็นนักกีฬาทำงานด้วยผลงานมากกว่าสร้างกระแส พร้อมยอมรับหากสาวญาญ่าบอกว่ารำคาญ แต่ตนก็เป็นเพียงแค่แฟนคลับอีกคนของเธอเท่านั้น

ถามถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น ?
“เกิดมาจากการโพสต์ทวิตเตอร์ขำๆ ไม่ได้ตั้งใจให้มันเกิดประเด็นโยงให้มันเป็นเรื่องเป็นราวใหญ่โตได้”

ทางญาญ่าก็ตอกกลับบอกไม่รู้จัก รำคาญนิดหน่อยที่ต้องเป็นข่าว ?
“ผมเข้าใจเขานะเพราะเขาเป็นผู้หญิง แล้วเรื่องราวทุกอย่างมันก็เกิดขึ้นมาจากตัวผม ที่ผมโพสต์ทวิตเตอร์แบบไม่คิด ก็โทษอะไรเขาไม่ได้ถ้าเขาจะรำคาญผม ก็สมควรครับ”

เหมือนเราไปเกาะกระแส ?
“ถ้าผมอยากดังผมไปเต้นแร้งเต้นกาแป๊บเดียวผมก็ดังแล้ว ผมไม่รู้ว่าผมจะมาเกาะกระแสเพื่ออะไร ผมเป็นนักกีฬาทีมชาติ นักกีฬาใช้ความสามารถครับ แต่ถ้าผมเป็นดาราผมอาจจะต้องใช้กระแสและความสามารถด้วย ผมว่าผมไม่จำเป็นต้องเกาะกระแส ผมรู้สึกว่าผมไม่รู้ว่าผมจะได้อะไรจากการเกาะกระแสในครั้งนี้ ผมได้ประโยชน์เหรอ สุดท้ายแล้วผมได้กระแสในทางที่ดีหรือในทางลบ สุดท้ายทุกคนมาด่ามาว่าผมแล้วผมจะเกาะกระแสไปเพื่ออะไรครับ”

ช่วงที่ผ่านมาเรามีเดินสายพบสื่อแต่เราไม่ยอมตอบคำถามเรื่องนี้ ?
“ผมต้องขอโทษพี่ๆ สื่อด้วยที่ผมออกมาพูดช้า ผมบอกตรงนี้ว่าอย่าไปโทษนักข่าว ถ้าผมออกมาก็ได้ข่าว อย่าไปโทษสื่อมวลชน มาโทษที่ตัวผมได้เลยที่ผมช้าเอง”

แล้วทำไมเราถึงไม่ยอมให้สัมภาษณ์ เห็นว่าเพราะเรารออีเว้นท์?
“เอาตรงๆ ตอนแรกเรื่องเกิดจากที่ผมเป็นใครก็ไม่รู้ โนเนม ผมเชื่อว่าทุกคนก็เคยโพสต์อะไรเล่นๆ กัน ผมก็เป็นหนึ่งในนั้นครับ ผมโพสต์ออกมาเล่นๆ ขำๆ แต่แจ็คพอตแตก ผมกลายมาเป็นข่าวได้ อย่างแรกเลยคือผมตกใจ ผมคิดว่าการที่ผมไม่ได้ออกไปทุกอย่างมันคงเงียบเพราะผมเป็นใครก็ไม่รู้ ผมเลยเลือกที่จะเงียบก่อน”

“แต่พอสักพักนึง ผมว่ามันเริ่มมีอะไรมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นคนเข้ามาด่าว่าผมในอินสตาแกรม ด่าไปถึงบุพการี เพื่อนผมเริ่มส่งข้อความมาถามว่ามันเกิดเรื่องราวอย่างนี้ขึ้นได้ยังไง ในตอนนั้นผมซ้อมหนักมาก เราก็มันเกิดอะไรขึ้น สุดท้ายผมเลือกที่จะเข้าไปตอบ เข้าไปขอโทษคุณญาญ่าที่ช่อง 3 ไม่ได้ตั้งใจจะดึงเชงอะไรทั้งนั้น ไม่จำเป็นต้องดึงเชงเพื่องานอีเว้นท์ ผมไม่รู้ว่าผมจะทำไปเพื่ออะไร ผมไม่ได้ดึงเชง ผมโฟกัสอย่างอื่นมากกว่า ผมซ้อมด้วย แต่เข้าใจว่าเดี๋ยวเรื่องมันก็คงจะเงียบแต่สุดท้ายมันก็ไม่เงียบ”

เป็นการขอโทษญาญ่าโดยตรงเลย ?
“ยังไม่มีโอกาสได้ขอโทษต่อหน้าเลยครับแต่ว่าได้มีโอกาสเดินไปที่ช่อง3 ขอโทษเรียบร้อยแล้วด้วยการไปออกรายการโหนกระแส”

ถ้าเกิดญาญ่าได้ดูอยู่อยากบอกอะไรกับเขาบ้าง ?
“พี่ญาญ่าครับ อย่ารำคาญผมเลยนะครับ ผมเองเป็นแค่คนๆ หนึ่ง เราไม่ได้คิดไม่ได้มีเจตนาอะไรร้ายแรงเลยที่จะโพสต์อะไรออกไปแบบนั้น อยากให้ดูที่เจตนาของผมนิดนึง ผมเป็นแค่คนๆ หนึ่งที่มีคนฟอลโล่ทวิตเตอร์หลักพัน วันหนึ่งใครจะไปรู้ว่ามันจะเกิดเรื่องราวแบบนี้ได้ เจตนาผมไม่มีเจตนาอะไรจะทำให้เขาเสื่อมเสียเลยแม้แต่นิดเดียว ผมเองก็เป็นแฟนคลับพี่ญาญ่า แล้วก็อยากจะบอกถึงแฟนคลับของ ณเดชน์ ญาญ่า ทุกคนด้วย ผมเองก็เป็นแบบคุณ ผมเป็นเหมือนคุณที่อยู่หนึ่งในนั้น…เนอะ พูดลำบากครับ”

ที่เราไปเดินสายเยี่ยมสื่อแล้วบอกให้สื่อลบคลิปออกล่ะ ?
“ผมไม่ได้พูดให้ลบคลิปนะครับ วันนั้นมีพี่คนหนึ่งที่ดีลงานกับผมวันที่ 1 เป็นคนที่ส่งงานเดินแบบมาให้ บอกว่าถ้าจะไปหาสื่อเคนพอร์ช พี่ขอเลย ช่วยไปสื่อกับพี่หน่อย ตอนแรกผมจะไม่ไปด้วยซ้ำเพราะมีประเด็นเยอะแยะมากมาย แล้วผมตอบรับกับผู้ใหญ่ไปแล้วว่าผมจะไปตอบในวันที่ 4 เท่านั้น แต่โอเค ผมบอกว่าผมจะไปนะ แต่ผมขอพูดในเรื่องของเดินแบบเท่านั้น”

“แต่ในวันที่ผมไปถึงผมพูดเรื่องการเดินแบบจบแล้ว แต่ก็มีเรียกให้ไปสัมภาษณ์ต่อ ผมก็ขอพี่นักข่าวเขาแล้วว่าผมไม่ขอสัมภาษณ์เรื่องประเด็นนะ เราไม่ได้ดีลกันแบบนี้ ยังไงผมขอลากลับแล้วกันแต่มันไม่ใช่อย่างนั้นสิ กลายเป็นว่าระหว่างที่ผมพูดอยู่นั้น ผมเห็นว่าที่กล้องมีไฟติดอยู่ ผมรู้แล้วว่ามันมีการบันทึกไว้แล้ว ผมเลยเดินไปหาช่างภาพว่าผมไม่โอเคนะครับถ้าจะให้ผมไปออกในขณะที่ไม่ได้ขออนุญาตผมเลยว่าพี่จะถ่าย ผมสาบานได้ว่าผมพูดแค่นี้จริงๆ ผมก็ไม่รู้ว่าข่าวออกมาได้ไงที่บอกว่าผมสั่งให้ลบคลิป”

เห็นว่าเราเข้าไปในห้องทีมงานแล้วบอกว่าช่วยลบคลิปเมื่อกี้ด้วย ?
“ผมยืนยันเลยว่าผมไม่ได้พูดว่าลบคลิปด้วยนะครับ แต่พูดว่าถ้ายังไงกรุณาด้วยนะครับ อย่าออกอากาศนะครับ เพราะอันนั้นคือไม่ได้ถ่ายแต่เป็นแอบถ่าย ถูกไหม”

แล้วเขาแอบถ่ายเรา ?
“ผมแค่เซฟตัวเองไว้ก่อน แต่ผมไม่ชัวร์ว่าแอบหรือไม่แอบ แต่โอเคคืออย่าออก ณ ตรงนั้นดีกว่า มันละเมิดสิทธิส่วนบุคคลของผม เคลียร์นะครับเรื่องที่ผมปฎิเสธสื่อจริงๆ แล้วผมไม่ได้ปฎิเสธ”

กับงานวันนี้ที่ช่างภาพนิ่งมาขอถ่ายรูปแล้วเรายกมือไม่ให้ถ่าย ?
“ผมมือใหม่มากครับ ผมเป็นนักกีฬา ไม่เคยเลยที่จะต้องมาให้สัมภาษณ์เยอะขนาดนี้ ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเป็นช่างภาพสื่อมวลชน ผมเข้าใจว่าจะตัองมีป้ายผู้สื่อข่าวติดไว้ทุกคน ผมไม่เห็นจริงๆ ยังไงก็ต้องขอโทษทางสื่อมวลชนด้วยที่ผมอาจจะมีกิริยา ท่าทางอะไรที่มันไม่ถูกใจ ก็ต้องขอโทษแล้วกันนะครับ (ยกมือไหว้)”

ได้รับผลกระทบยังไงบ้างกับพฤติกรรมต่างๆ ของเรา ?
“ได้รับบทเรียนเยอะ ต่อไปพูดอะไรก็ต้องคิด ผมคิดว่าผมไม่ได้เป็นใครเลย เป็นคนธรรมดาคนนึงด้วยซ้ำ การโพสต์ขำๆ ของผมจะกลายเป็นเรื่องราวที่ไปผูกโยงหลายๆ อย่างกลายเป็นเรื่องราวใหญ่โต ทำให้คนๆ หนึ่งเสียหายได้ ผมอยากให้ทุกคนได้ลองเสพข่าวกันอย่างมีสติก่อน ให้ลองคิดดีๆ ว่าใครเป็นคนจุดชนวนเรื่องนี้ มันใช่ผม 100 เปอร์เซ็นต์จริงหรือเปล่าที่ทำให้เรื่องนี้บานปลายจนมาถึงขนาดนี้ ลองสืบหาต้นสายปลายเหตุกันดีๆ ว่าทำไมมันถึงเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น ผมอยากให้ผมเป็นกรณีศึกษานะครับว่าเพราะการแค่ที่คนๆ หนึ่งโพสต์ทวิตเตอร์ ผมว่าไม่ใช่แค่ผมหรอกครับที่โพสต์แบบนี้”

เข็ดเลยไหมกับวงการบันเทิง ?
“ตอนนี้ผมโฟกัสเรื่องกีฬาฟันดาบมากเพราะในปีนี้จะมีการคัดเอเชียนเกมส์ ผมตั้งใจไว้ว่าผมอยากจะเป็นคนหนึ่งที่ติดไปแข่งในครั้งนี้ ผมติดทีมชาติอยู่แล้วแต่มันจะมีการเก็บคะแนนกันใหม่ ส่วนเรื่องงานในวงการผมมองว่ามันเป็นโอกาสที่เข้ามาในชีวิต ถ้ามันมีโอกาสที่ดี ใหญ่ และคุ้มค่าที่จะทำ ผมยินดีอยู่แล้ว โอกาสเข้ามาในชีวิตเราใครๆ ก็อยากจะได้รับโอกาสกันทั้งนั้น”
แต่เรารับได้ใช้ไหมว่าจะมีชื่อว่าเราโหนกระแส

ญาญ่าจนทำให้เป็นที่รู้จัก ?
“ผมตอบไปแล้วว่าผมไม่ได้เกาะกระแสนะครับ ก็รับได้ครับ เราไม่สามารถทำให้ใครถูกใจเราได้ 100 เปอร์เซ็นต์ มันเป็นไปไม่ได้ คนเรามันต้องมีทั้งคนชอบและคนไม่ชอบเป็นเรื่องธรรมดา ผมเข้าใจในชีวิตมากกว่า มันเป็นสัจธรรม ใครจะคิดอะไรยังไงมันเป็นเรื่องของเขา เราทำอะไรไม่ได้ เรามีหน้าที่ทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด”

แบบนี้ถ้าเราจะเข้าวงการจริงๆ เราต้องปรับทัศนคติใหม่รึเปล่า เพราะเราต้องเปิดตัวตน ทำตัวให้เป็นบุคคลสาธารณะมากขึ้น ?
“ต้องปรับมากครับ ผมว่าผมปรับในระดับที่พอสมควรนะ มีคนเข้ามาคอมเม้นต์ในอินสตาแกรมผมเยอะมาก ล้วนแล้วแต่เป็นคำพูดที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แต่ผมไม่ได้ตอก หรือปฎิเสธอะไรเขาเลย ผมยินดีที่จะรับฟัง ผมเข้าใจว่าตอนนี้ผมอาจจะเป็นคนหนึ่งที่กลายเป็นคนสาธารณะไปแล้วมั้ง เพราะงั้นผมว่าผมเข้าใจ ผมไม่จำเป็นต้องปรับตัวอะไรมาก”

Cr. Sanook
สำนักข่าววิหคนิวส์