ข่าวประจำวัน » ข่าวเด่น » #แฉอีกแล้ว เส้นทางใหม่ปูหนี !! นั่งรถข้ามแดนเข้าเขมร ไปกันหลายคน

#แฉอีกแล้ว เส้นทางใหม่ปูหนี !! นั่งรถข้ามแดนเข้าเขมร ไปกันหลายคน

4 September 2017
761   0

           นายปณิธาน วัฒนายากร ที่ปรีกษารองนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงความคืบหน้าในการตรวจสอบเส้นทางหลบหนีออกนอกประเทศของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่า

           จากการรายงานของหน่วยความมั่นคงเบื้องต้นมีข้อมูลเป็นไปได้ว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ใช้เส้นทางรถยนต์ในการเดินทางข้ามชายแดนเข้าประเทศกัมพูชา หลังจากรับประทานอาหารมื้อสุดท้ายกับคนใกล้ชิดบางส่วนที่ รร.เอสซี ปาร์ค เมื่อบ่ายวันที่ 23 ส.ค.ที่ผ่านมา
เชื่อจัดฉากเปลี่ยนรถหลายคัน

            แนวหน้า – นายปณิธาน กล่าวว่า หลังจากนั้นก็ไม่มีใครเห็น น.ส.ยิ่งลักษณ์ อีกเลย จึงเชื่อว่าทีมงานมีการใช้รถจัดฉากหลอกโดยเปลี่ยนรถหลายคัน ซึ่งผลการตรวจสอบเส้นทางหลบหนี โดยเฉพาะเรื่องสอบปากคำพยาน ตรวจกล้องวงจรทั้งหมดตลอดเส้นทางจนไปถึงชายแดน ใช้รถกี่คัน มีการพบปะกันอย่างไร พร้อมกับติดตามการเคลื่อนไหวในต่างประเทศตอนนี้เริ่มกระจ่างมากขึ้น โดยเชื่อว่าเรื่องนี้มีการวางแผนกันมานานแล้วอย่างรัดกุมด้วย
วงจรปิดมัด-พบข้อความสนทนา

           นอกจากนี้ การจากการตรวจสอบกล้องวงจรปิด ทำให้มีข้อมูลว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ไม่ได้หลบหนีไปคนเดียว แต่มีคนไปด้วยหลายคน อีกทั้งยังมีระเด็นที่น่าสนใจคือจากการประมวลร่วมกับฝ่ายข่าวพบการข้อความการสื่อสารสนทนาระหว่างบุคคลที่ไปกับอดีตนายกฯ ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะนำเสนอต่อ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ให้รับทราบต่อไป

สั่งจับตาบุคคลต้องสงสัยพาปูหนี

           เมื่อถามว่า ได้มีการระเมินตัวบุคคลหรือไม่ว่าเป็นคนมีสี หรืออดีตนักการเมืองที่พา น.ส.ยิ่งลักษณ์ หลบหนี นายปณิธาน กล่าวว่า ยังไม่สามารถระบุได้ชัดเจนขนาดนั้น ไม่อย่างนั้นก็คงจับกุมตัวไปแล้ว แต่ยอมรับว่ามีการสั่งจับตาบุคคลที่คาดว่าน่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับการหลบหนีของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ไว้แล้ว รอแค่หาข้อมูลหลักฐานมายืนยันความขัดเจนเท่านั้น ซึ่งในการประชุมฝ่ายความมั่นคง ในวันที่ 4 ก.ย.นี้ จะรายงานข้อมูลเบื้องต้นให้ที่ประชุมรับทราบต่อไป
ปชป.ซัดรบ.ไม่จริงใจจับปู

           ด้าน นายวิรัตน์ กัลยาศิริ หัวหน้าทีมกฎหมายพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) กล่าวถึงการติดตามตัว น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ว่า การที่ นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ระบุผู้ที่ถูกออกหมายจับ ไม่ได้แปลว่าจะต้องถูกยกเลิกหนังสือเดินทางทุกคน และรัฐบาลมีความจริงใจต่อการติดตามตัว น.ส.ยิ่งลักษณ์ กับมาดำเนินคดีนั้น ต้องตอบเลยว่าไม่จริงใจ เพราะสิ่งที่เราจะเอานักโทษหลบหนีเข้ามานั้นคือ 1.การใช้หมายจับของศาลซึ่งออกตั้งแต่วันที่ 25 ส.ค.แล้ว สามารถเป็นเหตุให้เพิกถอนพาสปอร์ตทั้ง 2 เล่มได้ หากรัฐบาลมีความจริงใจกับประชาชนก็ต้องรีบดำเนินการ และ 2.รอผลศาลตัดสินคดี ในวันที่ 27 ก.ย.นี้ ซึ่งจะมีผลในเรื่องการลี้ภัย และความชัดเจนเรื่องการคำพิพากษา

จี้เพิกถอนพาสปอรต์ทำได้ทันที

           “กระบวนการตั้งเรื่องเพิกถอนพาสปอร์ตต้องทำทันที เพราะคดีนี้เป็นการทุจริตงบประมาณแผ่นดินนับล้านล้านบาท และรัฐบาลไม่ดำเนินการเพิกถอนพาสปอร์ต จะเป็นการเปิดช่องให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ หลบหนีได้ง่าย ทำให้การเคลื่อนที่ของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ในประเทศใดก็ตามบนโลกนี้จะสะดวกขึ้นเสมือนว่ารัฐบาลรู้เห็นและยินยอมให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ไปที่ไหนก็ได้” นายวิรัตน์ กล่าว
ฟันธงบุญทรงมีสิทธิตายคาคุก

           นายวิรัตน์ ยังกล่าวถึงกรณีหาก นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ที่ถูกจับคุกในคดีทุจริตระบายข้าวจีทูจี สารภาพโยงผู้บงการจะช่วยบรรเทาโทษให้นายบุญทรงได้หรือไม่ ว่า นายบุญทรงต้องตอบศาลให้ได้ว่า 1.ใครเป็นคนสั่ง และ 2.จากคำสั่งของบุคคลนั้นผลกระทบคืออะไร ต้องตอบให้ชัด ใครสั่ง สั่งโดยวิธีใด ถ้าไม่ทำผลกระทบคืออะไร เพื่อให้ศาลกรุณา นี่เป็นทางรอดเดียวของนายบุญทรง ซึ่งไม่มีทางอื่น เชื่อว่าศาลจะรับฟัง

ชี้ช่องถ้ายอมซัดทอดตั้งเรื่องใหม่ได้

           “หากนายบุญทรงพาดพิงไปถึงบุคคลอื่นก็เชื่อว่าจะต้องดำเนินคดีใหม่ โดยคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) สามารถตั้งเรื่อง และโยงไปยังประเทศอื่นๆ ว่ามีเงินอยู่เท่าไหร่ ดังนั้นถ้านายบุญทรงเปิดปาก ป.ป.ช.ก็เดินหน้าได้ เท่ากับเป็นการเปิดช่องให้สามารถดึงเงินกลับเข้ามาในประเทศให้ได้มากที่สุด” นายวิรัตน์ กล่าว
ไม่ยอมเปิดปากมีสิทธิตายคาคุก

           เมื่อถามว่า การที่นายบุญทรง พูดกับ นายสุรนันทน์ เวชชาชีวะ แกนนำพรรคเพื่อไทย ว่าจะปล่อยให้เรื่องนี้ตายไปกับนายบุญทรง อย่างนี้จะมีผลอย่างไร นายวิรัตน์ กล่าวว่า นายบุญทรงก็ตายจริง เพราะนายบุญทรงโดนคดีไปแล้ว 4 ข้อหา ยังเหลืออีก 8 ข้อหา ในการทุจริตการระบายข้าวล็อตที่ 2 ซึ่งพฤติกรรมเหมือนกัน ดังนั้น หากนายบุญทรงไม่ยอมพูดความจริงก็เหนื่อย

ทนายเตรียมเพิ่มหลักทรัพย์ประกัน

           นายนรินทร์ สมนึก ทนายความของนายบุญทรง กล่าวว่า เเนวทางที่จะยื่นขอประกันรอบที่สามคือจะยื่นพร้อมอุทธรณ์ โดยประเด็นการอุทธรณ์นั้นต้องรอคำพิพากษาของศาล คาดต้องใช้เวลา 2 สัปดาห์ จากนั้นถึงจะแล้วถึงมาดูประเด็นที่จะอุทธรณ์

           ส่วนการยื่นประกัน หลักทรัพย์เดิมยื่นประกัน คือ 30 ล้านบาท ส่วนจะเพิ่มเท่าใดนั้นยังบอกไม่ได้ เพราะมีปัญหาโดนอายัดบัญชี และเมื่อวันที่ 31 ส.ค.ที่ผ่านมา ได้แจ้งรายชื่อผู้ที่เข้าเยี่ยมนายบุญทรงในเรือนจำคลองเปรมต่อกรมราชทัณฑ์ ทั้งหมด 10 รายชื่อ ได้รับอนุญาตเข้าเยี่ยมได้วันละ 5 คน 1 รอบ ตามระเบียบ โดยในวันพรุ่งนี้ตนก็จะไปพบกับนายบุญทรง เพื่อเยี่ยมเเละปรึกษากันในเรื่องคดี

โพลชี้หมายจับปูเรตติ้งอันดับ1
          วันเดียวกัน “สวนดุสิตโพล” ของมหาวิทยาลัยสวนดุสิต ได้เปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นประชาชนทั่วประเทศ 1,219 คน ระหว่างวันที่ 29 ส.ค. – 2 ก.ย.ที่ผ่านมา เกี่ยวกับข่าวคดีดังๆ ต่างๆ โดย 5 อันดับข่าวเกี่ยวกับการดำเนินการทางกฎหมายที่ประชาชนสนใจ พบว่า อันดับ 1 ข่าวการออกหมายจับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ไม่มาฟังคำตัดสินคดี ร้อยละ 84.02 อันดับ 2 ข่าวการจำคุก นายสรยุทธ สุทัศนะจินดา 13 ปี 4 เดือน คดีไร่ส้ม ร้อยละ 70.78

ข่าวจำคุกบุญทรงอันดับสาม

          อันดับ 3 ข่าวการจำคุก 42 ปี นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีต รมว.พาณิชย์ คดีทุจริตขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) ร้อยละ 69.83 อันดับ 4 ข่าวการจำคุก 26 ปี นายภูมิ สาระผล อดีตรมช.พาณิชย์ คดีทุจริตขายข้าวแบบจีทูจี ร้อยละ 54.58 อันดับ 5 ข่าวการจำคุก 2 ปี นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ อดีตหัวหน้าพรรคเพื่อไทย คดีสนามกอล์ฟอัลไพน์ ร้อยละ 52.09
สะท้อนสภาพสังคมไทยย่ำแย่

           เมื่อถามว่า จากข่าวที่ปรากฏขึ้น ประชาชนมองเห็นว่าสภาพสังคมไทยหรือสถานการณ์ของประเทศไทยเป็นอย่างไร พบว่าประชาชนร้อยละ 64.32 เห็นว่าสังคมไทย การเมืองไทยย่ำแย่ ควรปฏิรูปอย่างจริงจัง ร้อยละ 60.41 มีการทุจริตคอร์รัปชั่นในทุกแวดวง ร้อยละ 57.2 คิดว่ากฎหมายต้องเข้มแข็ง ไม่มีช่องโหว่ ร้อยละ 47.13 มองว่ามีการใช้อำนาจหน้าที่ในทางที่ไม่ถูกต้อง ร้อยละ 44.25 คิดว่ายังมีความขัดแย้ง แตกแยก
           สำหรับบทเรียนที่ได้จากการดำเนินการทางกฎหมายต่อบุคคลที่เป็นข่าวอยู่นั้น ประชาชนร้อยละ 68.5 เห็นว่าผู้ที่กระทำผิดย่อมได้รับการลงโทษ ร้อยละ 62.11การทำงานต้องยึดหลักความซื่อสัตย์ สุจริต ร้อยละ 59.16 คิดว่าปัญหาการทุจริตคอรัปชั่นยังไม่หมดไปจากสังคมไทย ร้อยละ 53.51 มองว่าควรปลูกฝังคุณธรรมจริยธรรม จิตสำนึกที่ดีให้กับเยาวชน ร้อยละ 49.1 คิดว่าทุกคนทุกฝ่ายควรช่วยกันเป็นหูเป็นตาตรวจสอบ

สำนักข่าววิหคนิวส์