กลุ่มประชาชนคนไทย (ปท.)
แถลงขอให้รัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เสียสละลาออก
วันเสาร์ที่ 15 พฤษภาคม 2564 เวลา 14.00 น.
ณ โถงอาคารชั้น 1 อาคารพญาไทพลาซ่า
———————————————-
ในห้วงระยะ 7 ปี ที่ผ่านมา รัฐบาลที่นำโดยพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งสืบทอดอย่างต่อเนื่องมาจาก คสช. เป็นบทพิสูจน์ชัดถึงการยึดอำนาจเพื่อตนเองและพวกพ้อง ไม่ตอบสนองข้อเรียกร้องให้มีการปฏิรูปในทุกด้านของประชาชน มีแต่ความพยายามกระชับอำนาจ และออกแบบรัฐธรรมนูญเพื่อสืบทอดอำนาจ ตั้งพรรคการเมืองเพื่อเข้าสู่อำนาจผ่านการเลือกตั้งจากรัฐธรรมนูญที่เขียนให้ตนเองได้เปรียบ อีกทั้งยังผิดสัญญาประชาคมซึ่งเคยให้ไว้ต่อรัฐสภา ประชาชนคนไทยต้องทนเห็นการใช้อำนาจอย่างฉ้อฉลของรัฐบาล รวมถึงการตระบัดสัตย์ในคำมั่นสัญญาที่เคยให้ไว้กับประชาชน
ที่สำคัญการก้าวล่วงสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เป็นเรื่องที่ประชาชนคนไทยห่วงกังวล แทนที่รัฐบาลจะปกป้องสถาบันฯ อย่างแข็งขัน กลับกลายเป็นการนำสถาบันมาเป็นข้ออ้างเพื่อแบ่งแยกประชาชน แอบอ้างสถาบันพระมหากษัตริย์มาเป็นเกราะปิดบังพฤติกรรมชั่วร้ายผิดจริยธรรมทางการเมือง และกลบเกลื่อนความผิดพลาดล้มเหลวในการบริหารราชการแผ่นดินของระบอบประยุทธ์
พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะนายกรัฐมนตรี ไม่แสดงท่าทีใดๆ เมื่อสถาบันพระมหากษัตริย์ถูกแอบอ้างนำมาเป็นประเด็นทางการเมือง ถูกกล่าวหาใส่ร้ายและโจมตีอยู่บนท้องถนนอย่างโจ่งแจ้งอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน พลเอกประยุทธ์ ยังคงแสดงออกราวกับว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นปัญหาความแตกแยกของคนในชาติไม่ใช่เรื่องของรัฐบาล เป็นปัญหาระหว่างประชาชนส่วนหนึ่งกับสถาบันพระมหากษัตริย์ ทั้งๆ แท้จริงแล้วต้นเหตุของปัญหาล้วนมาจากรัฐบาลนั่นเอง
นอกจากนี้เมื่อพิจารณาถึงคำปรารภของรัฐธรรมนูญ 2560 ที่ชี้ให้เห็นถึงวิกฤติของประเทศชาติไว้ดังนี้ 1. เกิดจากมีผู้ไม่นำพา หรือไม่นับถือยำเกรงกฎเกณฑ์การปกครองบ้านเมือง 2. ทุจริตฉ้อฉล หรือบิดเบือนอำนาจ 3. ขาดความตระหนักสำนึกรับผิดชอบต่อประเทศชาติและประชาชน จนทำให้การบังคับใช้กฎหมายไม่เป็นผล
อีกทั้งยังระบุถึงแนวทางป้องกันแก้ไขด้วยการปฏิรูปการศึกษา การบังคับใช้กฎหมาย และเสริมสร้างความเข้มแข็งของระบบคุณธรรมและจริยธรรม
ดังนั้นคำปรารภดังกล่าวถือเป็นบรรทัดฐานสำคัญที่รัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ต้องบริหารประเทศเพื่อยุติวิกฤติดังกล่าวโดยเร่งด่วน แต่ที่ผ่านมารัฐบาลมิได้นำพาแก้ไขจนทำให้วิกฤตดังกล่าวของชาติขยายตัวทั้งด้านกว้างและลึก คุณภาพชีวิตของประชาชนวิกฤติหนักถึงขีดสุดอย่างที่ไม่เกิดขึ้นมาก่อน หากปล่อยให้เนิ่นนานออกไป ประเทศไทยจะตกอยู่ในภาวะล่มสลาย
ด้วยเหตุนี้การแก้ไขวิกฤติชาติ ต้องอาศัยความร่วมมือร่วมใจของประชาชนทุกภาคส่วน พร้อมกับหน่วยงานต่างๆ อาทิ ทหาร ตำรวจ ข้าราชการ นักการเมือง รวมถึงนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี ต้องเสียสละ ร่วมมือกันสร้างชาติให้แข็งแกร่งด้วยหลักการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ยึดถือหลักความสุจริต หลักสิทธิมนุษยชน และหลักธรรมาภิบาล อันจะทำให้ขับเคลื่อนประเทศให้พัฒนาไปข้างหน้าอย่างมั่นคง
พวกเราในนาม “กลุ่มประชาชนคนไทย” เห็นว่า ในห้วงระยะเวลา 7 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลโดยพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ตระบัดสัตย์ในคำมั่นสัญญาประชาคม ไม่ดำเนินการปฏิบัติเป็นรูปธรรม 5 ด้าน ดังนี้
1. ด้านการปฏิรูปประเทศ
ภายหลังการเลือกตั้ง การปฏิรูปทุกด้านที่เคยให้คำมั่นสัญญาไว้ยังไม่เกิดขึ้น แต่ประชาชนคนไทยต้องทนเห็นการใช้อำนาจอย่างฉ้อฉลของรัฐบาลประยุทธ์ โดยที่กระบวนการตามรัฐธรรมนูญจัดการกับพฤติกรรมและการใช้อำนาจที่ฉ้อฉลเหล่านั้นไม่ได้ แม้จะมีความพยายามในการจัดตั้งคณะกรรมการปฏิรูปประเทศ ตามกรอบรัฐธรรมนูญ ปี 2560 แต่ก็ไม่ได้มีความคืบหน้า หรือเกิดรูปธรรมที่เห็นได้ชัดว่าแนวทางการปฏิรูปจะเกิดขึ้นได้ตามเจตนารมณ์ของประชาชน
2. ด้านการปรองดองสมานฉันท์ของคนในชาติ
การปรองดองสร้างความสมานฉันท์ของคนในชาติ ให้ความเป็นธรรมต่อมวลชนทุกกลุ่ม ไม่แบ่งแยกสีเสื้อและกลุ่มทางการเมือง เพื่อนำชาติบ้านเมืองเดินไปข้างหน้า แต่ที่ผ่านมารัฐบาลมิได้ยายามทำให้เกิดการปรองดอง เพราะระบอบประยุทธ์อาศัยความขัดแย้งของประชาชนเป็นเครื่องมือในการแบ่งแยกแล้วปกครอง จึงไม่เห็นความมุ่งมั่นของรัฐบาลที่จะขจัดความขัดแย้งในหมู่ประชาชน เพราะระบอบประยุทธ์ได้ประโยชน์จากความขัดแย้งนั้นมาโดยตลอด
3. ด้านทุจริตคอรัปชั่น
กรณีอภิมหาโครงการที่เกิดขึ้นในรัฐบาลประยุทธ์ที่หลายฝ่ายยกเป็นผลงานของรัฐบาล แต่กลับมองข้ามเงื่อนงำของอภิมหาโครงการเหล่านั้นว่า ไม่ได้คำนึงถึงการจัดทำโครงการที่มีคุณภาพ หรือจัดการบริหารงบประมาณให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อชาติบ้านเมือง ทั้งยังเอื้อประโยชน์ให้กลุ่มทุนบางกลุ่มที่เป็นนายทุนพรรคร่วมรัฐบาล โดยมีเบี้ยบ้ายรายทางตกหล่นจนกลายเป็นผลประโยชน์แอบแฝง ก่อให้เกิดกลุ่มทุนการเมืองใหม่ที่ขึ้นตรงต่อนักการเมืองในรัฐบาลชุดนี้ ไม่ต่างไปจากกลุ่มทุนลักษณะเดียวกัน ที่รัฐบาลนี้เคยต่อต้านหรือหมิ่นแคลนว่า สร้างความเสียหายต่อชาติบ้านเมือง
4. ด้านการแก้ไขสถานการณ์โควิด-19
รัฐบาลต้องยอมรับว่า ความล้มเหลวในการจัดการรับมือกับโควิดระลอกที่ 2 และ 3 นั้น มาจากความผิดพลาดของรัฐบาล ทั้งเรื่องการลักลอบนำแรงงานต่างด้าวเข้ามาจนเกิดการระบาดรุนแรงที่จังหวัดสมุทรสาคร แล้วส่งผลกระทบไปทั่วประเทศ รวมถึงการปล่อยให้มีการมั่วสุมในสถานบันเทิงจนกลายเป็นการระบาดรอบล่าสุดที่หนักกว่าทุกครั้ง และการจัดการกับบ่อเกิดของปัญหาเหล่านี้ รัฐบาลไม่ได้จัดการอย่างจริงจังกับการหาคนกระทำผิดมาลงโทษเลย
ส่วนการเสียชีวิตของประชาชนเพราะไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที รวมทั้งกระบวนการจัดหาวัคซีน การฉีดวัคซีนที่ล่าช้า การสื่อสารที่สร้างความสับสนกับประชาชน ล้วนแต่เป็นรูปธรรมความล้มเหลวอย่างยิ่งของรัฐบาลในการบริหารจัดการ
5. ด้านจริยธรรมทางการเมือง
ในด้านจริยธรรมทางการเมือง ตัวพลเอก ประยุทธ์ แสดงออกทำให้เชื่อได้ว่าใกล้ชิดกับนายทุนที่เป็นเจ้าของธุรกิจขนาดใหญ่บางราย ตั้งแต่การแต่งตั้งบุคคลที่สนิทสนมกับกลุ่มธุรกิจปลอดภาษีเป็นประธานของบริษัท ท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย ตามมาด้วยการแต่งตั้งให้บุคคลที่เป็นตัวแทนของกลุ่มธุรกิจใหญ่กลุ่มหนึ่งโดยเฉพาะ เข้าไปนั่งเป็นกรรมการในคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน จนทำให้สามารถได้รู้ข้อมูลด้านการลงทุนที่ยังไม่เปิดเผยก่อนผู้อื่น และรู้แง่มุมของการวางนโยบายที่เป็นเรื่องไม่พึงเปิดเผยด้วย ทั้งยังเคยเชิญนักธุรกิจบางคนให้ร่วมแสดงความเห็นในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี ซึ่งเป็นความเห็นที่เป็นประโยชน์แก่นักธุรกิจผู้นั้นโดยเฉพาะความสัมพันธ์ในลักษณะเช่นนี้ไม่เหมาะสมสำหรับผู้ที่เป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศ