ข่าวประจำวัน » อ.สังศิตชี้!! วิกฤติรอบด้านไทยจมปลักวิกฤตซ้อนวิกฤต แนะ สปิริตพระเจ้าตากสู้

อ.สังศิตชี้!! วิกฤติรอบด้านไทยจมปลักวิกฤตซ้อนวิกฤต แนะ สปิริตพระเจ้าตากสู้

11 July 2025
2   0

สปิริตแบบพระเจ้าตาก
ดร.สังศิต พิริยะรังสรรค์
รัฐนาวาไทยในวันนี้กำลังเผชิญกับ perfect storm หรือพายุหมุนเศรษฐกิจ สังคมและการเมืองที่วิกฤตและร้ายแรงพร้อมๆ กันทุกด้านอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน พายุหมุนที่ว่านี้มี 4 ลักษณะ คือ

พายุด้านโครงสร้างเศรษฐกิจ ซึ่งหยุดนิ่งล้าหลัง ไม่ได้รับการพัฒนาให้เท่าทันกับเศรษฐกิจโลกยุคใหม่ ส่งผลให้พลังการผลิตทั้งด้านแรงงานและปัจจัยการผลิต ง่อนแง่น และผุโทรมอ่อนแอ ส่งผลให้ผลิตภาพต่ำเตี้ยไม่สามารถแข่งขันกับประเทศอื่น หนี้ในระบบมีสัดส่วนที่สูงมาก ทั้งหนี้ของธุรกิจเอสเอ็มอี หนี้ครัวเรือนและหนี้นอกระบบ ธุรกิจทยอยกันปิดตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง มีทั้งธุรกิจที่ไม่สามารถแข่งขันกับต่างประเทศได้ และธุรกิจที่กำลังซื้อของคนในประเทศกำลังลดลงอย่างมากมาย รัฐจึงเก็บภาษ๊ได้ต่ำเป้ากว่าแสนล้านบาท นี่เป็นพายุเศรษฐกิจภายในที่มีขนาดใหญ่โตเกินกว่าที่รัฐบาลชุดปัจจุบันจะรับมือได้แล้ว

พายุที่สอง คือ การค้าโลกที่ปั่นป่วนด้วยนโยบายทรัมป์และความก้าวร้าวของอิสราเอล ได้ถาโถมเข้าใส่ประเทศไทย หากตลาดส่งออกใหญ่สุดของไทย คือ สหรัฐ จะถูกเรียกเก็บภาษีนำเข้าสูงถึง 36% จะทำให้ต้นทุนการผลิตของไทยสูงขึ้นและยิ่งลดความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจ การลงทุนจากต่างประเทศจะหดตัวขนานใหญ่ ซึ่งจะส่งผลกระทบถึงการจ้างงานของคนในประเทศมากกว่า 10 ล้านคน ราคาสินค้าเกษตรจะตกต่ำลง จำนวนคนตกงานและการว่างงานจะกลายเป็นปัญหาใหญ่ขึ้นอย่างน่าวิตก และเกินกว่าความสามารถที่ระบบราชการไทยและรัฐบาลที่คิดอยู่ในกรอบเดิมๆ จะรับมือไหว

พายุที่สาม คือ การคอรัปชั่นที่ กำลังขยายตัวอย่างกว้างขวางและซึมลึกจนเกินกว่าที่หน่วยงานภาครัฐและองค์กรอิสระที่ทำหน้าที่ตรวจสอบการทุจริตจะควบคุมได้อีกต่อไป ทุกวันนี้การทุจริตคอรัปชั่นได้ฝังรากลึกลงไปนทุกหน่วยงาน ตั้งแต่ระดับบนจนถึงล่างสุด เหมือนเสาที่ถูกปลวกกัดกิน จนกระทั่งคะเนได้ว่าในไม่ช้าเสาทุกต้นที่ทำหน้าที่ค้ำประเทศไทยเอาไว้น่าจะพังทลายลงมาหมด แม้กระทั่งหน่วยงานตรวจสอบที่เคยได้รับความเชื่อถืออย่างสูง เช่นสตง. ยังหมดความน่าเชื่อถือไปแล้ว เมื่ออาคารสำนักงานใหญ่ของ สตง.พังทลายลงราบคาบ แต่ผู้ว่าการและประธานสตง. กลับ ไม่กล้าแสดงออกถึงจริยธรรมและความรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้

พายุที่สี่ ได้แก่ นักการเมืองที่ยังหน้ามืดตามัวอยู่กับการรักษาผลประโยชน์ส่วนตัวหรือของพรรคเป็นหลัก โดยละเลยต่อการทำหน้าที่ตัวแทนประชาชน ในขณะที่บ้านเมืองกำลังเผชิญวิกฤติเศรษฐกิจสังคมการเมืองอย่างร้ายแรง นักการเมืองยังให้เร่งรัดแก้รัฐธรรมนูญ แก้กฎหมายประชามติ และผ่านกฎหมายนิรโทษกรรม เพื่อหวังคะแนนนิยม กฎหมายเหล่านี้อาจมีความสำคัญก็จริง แต่ก็ไม่ใช่เรื่องเร่งด่วน เพราะรัฐนาวาลำนี้กำลังโดนพายุหมุนใกล้พลิกคว่ำ วิกฤติเศรษฐกิจครั้งนี้จะร้ายแรงยิ่งกว่า “ต้มยำกุ้ง” หรือ “วิกฤติแฮมเบอร์เกอร์” เพราะจะมีผลกระทบอย่างร้ายแรงกับคนไทยทุกคน ตั้งแต่เจ้าของบริษัทที่ร่ำรวยที่สุดในประเทศไทยจนกระทั่งถึงคนจนที่สุดในประเทศ

สภาวะแห่ง perfect storm หรือ สภาวะวิกฤติในทุกด้านที่กำลังรุมเร้าประเทศของเราอยู่เช่นนี้ เป็น “สถานการณ์ที่ผิดปกติมากเป็นพิเศษที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน” ผมเห็นว่าสถานการณ์ในขณะนี้เรียกร้องให้มีผู้นำประเทศที่มี “สปิริตแบบพระเจ้าตาก” จิตวิญญาณแบบพระเจ้าตาก คือ ภาวะการนำที่พร้อมด้วยความกล้าหาญ ยุทธศาสตร์ ยุทธวิธี กล้าพลิกแพลง กล้าคิดนอกกรอบ โดยมีผลประโยชน์ของชาติและประชาชนเป็นธงนำ

ขอย้ำว่า ผมไม่ได้เรียกร้องรัฐประหาร!
แต่ผมขอเรียกร้องให้ท่านผู้อยู่ในระบอบรัฐสภา ที่ได้รับมติจากประชาชนให้เป็นตัวแทนบริหารประเทศ กล้าที่จะน้อมนำ “สปิริตแบบพระเจ้าตาก” มาปรับใช้โดยทันที ในวันนี้ โดยไม่ต้องเฝ้าเซ้าซี้ให้ยุบสภา เลือกตั้งใหม่ แล้วค่อยตั้งรัฐบาลชุดใหม่

พระเจ้าตากไม่ใช่คนรักตัวกลัวตาย และหนีตายออกจากอยุธยา แต่พระองค์มียุทธศาสตร์และยุทธวิธีในการรักษาชาติ รู้จักถอยในยามจำเป็นเพื่อตั้งรับ รู้จักวิธีใช้คนจำนวนน้อยไปเอาชนะคนจำนวนมาก ได้ กล้าพลิกแพลงใช้วิธีการใหม่ๆ ในการระดมทรัพยากรด้วยการไปกู้ยืมเงินและเรือสำเภาจากพ่อค้าชาวจีน มากู้ชาติ ที่สำคัญคือท่านสามารถสร้างขวัญกำลังใจให้แก่ผู้ติดตามได้ในยามที่บ้านแตกสาแหรกขาด ทั้งๆที่พระเจ้าตากเป็นเพียง “ทหารระดับกลาง” เป็น “ลูกคนต่างด้าว” แต่เพราะท่านเป็นผู้มีอุดมการ มีความรักความหวงแหนแผ่นดินและมีความกตัญญูรู้คุณต่อแผ่นดินที่ตัวเองเกิดและอาศัยอยู่ ท่านจึงพร้อมที่จะเสียสละชีวิตเพื่อปกป้องชาติ บุคคลเช่นนี้นับว่า มีภาวะความเป็นผู้นำสูงยิ่ง

คำถามคือ ใคร? ในระบอบรัฐสภาที่พร้อมจะแสดง “สปิริตแบบพระเจ้าตาก”
ผมคิดว่า คุณณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน และคุณอนุทิน ชาญวีรกุล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย น่าจะมีศักยภาพและมีความพร้อม ที่จะแสดงความเป็นผู้นำทางการเมืองได้ในขณะนี้ หากท่านพร้อมที่จะน้อมนำ “สปิริตแบบพระเจ้าตาก” มาปรับใช้ โดยคิดออกไปนอกกรอบ ก้าวข้ามความแตกต่างของอุดมการทางการเมืองและผลประโยชน์เฉพาะหน้าชองพรรคได้ ท่านก็จะมีโอกาสสร้างชื่อให้ลูกหลานจดจำว่าเป็นวีรบุรุษที่นำพาประเทศไทยให้ก้าวข้ามวิกฤติครั้งร้ายแรงได้
ผมขออนุญาตเรียกร้องให้ทั้งสองท่านมีความกล้าหาญทางจริยธรรมที่จะคิดออกไปนอกกรอบจากการเมืองแบบเดิม คือการเลือกคณะรัฐมนตรี ในขณะนี้ไม่สมควรใช้วิธีแบบเดิมคือเลือกตามโควตา ญาติพี่น้องคนใกล้ชิด บ้านใหญ่ หรือตอบแทนนายทุนพรรค เพราะวิธีนี้จะไม่มีทางได้คนที่มีขีดความสามารถเพียงพอที่จะรับมือกับ perfect storm ของประเทศได้
ผู้นำที่มีสปิริตแบบพระเจ้าตาก ต้องกล้านำเสนอคนดี คนที่เป็นกลุ่มคลีน ต้องมีมืออาชีพจากภาคธุรกิจ ภาคการเงิน การคลังที่ไม่ผูกติดกับผลประโยชน์ของตัวเองและครอบครัว เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของคณะรัฐมนตรีและเป็นทีมงานที่สำคัญของรัฐบาล

ผมเชื่อมั่นว่ามีเทคโนแครตและนักธุรกิจจำนวนมากที่มีศักยภาพและที่มีความสามารถในการแก้ปัญหาของประเทศได้ แต่พวกเขาไม่มีโอกาสที่จะเข้ามาทำงานให้ประเทศได้ ดังนั้น ในขณะนี้ เราจึงต้องการนักการเมืองที่มีความกล้าหาญทางจริยธรรมสูงที่จะชูธงนำ เป็นผู้รวบรวมบุคคลที่มีศักยภาพมาร่วมกันทำงานให้แก่ประเทศ ซึ่งเป็นคนที่เมื่อเอ่ยชื่อถึงแล้ว สังคมเกิดความเชื่อมั่น เชื่อถือไว้วางใจ และเกิดกำลังใจที่จะให้การสนับสนุนรัฐบาลอย่างเต็มกำลังความสามารถ อาทิเช่น คุณศุภชัย เจียรวนนท์ คุณธีรชัย ภูวนาถนฤบาล คุณสมประสงค์ บุณยชัย ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล และคุณกรณ์ จาติกวนิช เป็นต้น บุคคลเหล่านี้สามารถมาเป็นรองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ และเป็นทีมเศรษฐกิจของประเทศไทยได้เป็นอย่างดี

สถานการณ์ของประเทศในขณะนี้เรียกร้องให้นักการเมืองต้องช่วยเหลือประเทศอย่างเร่งด่วน ผมจึงขอวิงวอนมายังรัฐบาลชุดปัจจุบันความเคารพ 2 เรื่อง กล่าวคือ
การเลือกผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ไม่ใช่เป็นการเลือกคนของรัฐบาล ไม่ใช่เลือกคนที่รัฐบาลสามารถสั่งได้ แต่เป็นการเลือกคนให้แก่ประเทศไทย และในขณะเดียวกันผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยคนใหม่เมื่อได้รับเลือกแล้ว ต้องรักษาจรรยาบรรณของสถาบัน ไม่ควรรับใช้นักการเมืองที่ต้องการเอาทุนสำรองระหว่างประเทศมาใช้ เพราะขณะนี้รัฐบาลกำลังถังแตก เก็บภาษีต่ำกว่าเป้าถึง 100,000 ล้านบาท ในเวลาอันใกล้นี้เศรษฐกิจของประเทศจะยิ่งยากลำบาก และไม่ควรอนุญาตให้รัฐบาลออกเงินชนิดใดก็ตามที่ไม่มีทองคำค้ำประกัน
ในเรื่องของการเจรจาต่อรองเรื่องภาษีกับสหรัฐนั้น ต้องไม่เอาเรื่องอธิปไตยของประเทศ คือเรื่องการตั้งฐานทัพของสหรัฐมาเป็นข้อต่อรองเรื่องภาษีกับประเทศไทยเป็นอันขาด

สุดท้าย ผมขอเรียกร้องมายังสื่อมวลชนให้สามัคคีร่วมแรงค้ำจุนนาวาไทยลำนี้ด้วยการสื่อสารเชิงบวกเพื่อประโยชน์ของชาติ