ข่าวประจำวัน » ข่าวต่างประเทศ » #อึ้ง..!!ตัดต่อDNA จากแกะ-นกมาเป็นหมา

#อึ้ง..!!ตัดต่อDNA จากแกะ-นกมาเป็นหมา

24 May 2017
869   0

เทคโนโลยีทางชีววิทยาด้านพันธุวิศวกรรม
การตัดต่อดัดแปลง DNA หลายๆคนคงคุ้นเคยกับคำนี้แบบสั้นๆว่า Clone (ถึงแม้ว่ามันจะเป็นเพียงส่วนหนึ่งของพันธุวิศกรรมก็ตาม) ผมจะไม่ชี้ลงไปล่ะนะครับว่าถูกหรือผิด ประเด็นที่น่าสนใจสำหรับผมและเกี่ยวข้องกับเรื่องราวของเราโดยตรงก็คือ นักวิทยาศาสตร์กลุ่มหนึ่ง กำลังจะเจริญรอยตามภาพยนต์เรื่อง Jurassic Park นั่นคือ Clone มนุษย์โบราณขึ้นมาเพื่อเสาะหาต้นกำเนิดที่แท้จริงของมนุษย์ แม้ในวงการโบราณคดีก็ยังยุ่งเหยิงกับเรื่องราวของการกำเนิดมนุษย์อยู่ในขณะที่กลุ่มหนึ่งกำลังศึกษาโฮโมเซเปี้ยนรุ่นแรกซึ่งอายุไม่กี่แสนปีอีกกลุ่มก็ดันไปขุดพบซากมนุษย์โบราณที่ดูเหมือนจะพัฒนาไปมากกว่ากลุ่มแรกแต่อายุดันย้อนหลังไปมากกว่าสามล้านปี


มันหมายความว่ายังไงกันครับ?เกิดอะไรขึ้นกับการวิวัฒน์ของมนุษย์กันแน่ มิหนำซ้ำจากเทคโนโลยีนี้ เราก็ได้พบความกับปริศนาที่ ดำมืดเข้าไปใหญ่ นั่นก็คือกำเนิดของมนุษย์น่าจะมีที่ไปที่มาจากเทคโนโลยีพันธุวิศวกรรมที่เรา ใช้อยู่ในปัจจุบันเสียด้วย มีใครบางคนเล่นตลกกับข้อมูลใน DNAของบรรพบุรุษเราเมื่อนานแสนนานมาแล้ว 
อำนาจของวิทยาศาสตร์นี่ไม่ใช่ธรรมดาๆเลย บรรดาสัตว์ประหลาดในตำนานทั้งหลายที่ถูกเนรมิตรขึ้นโดยเทพเจ้า ก็ไม่น่าจะเป็นเรื่องแปลกอีกแล้ว เพราะในปัจจุบัน มนุษย์เรา-(ผู้พยายามจะทำตัวเป็น)พระเจ้ารุ่นใหม่ ก็ทำอะไรๆได้ไม่แพ้พระเจ้าในตำนานเหมือนกัน


Evolution of Grandchild of ADAM and EVE
สองชื่อที่เราคุ้นเคยกันดีในฐานะบรรพบุรุษของมนุษย์ตามที่ปรากฏอยู่ในพระคัมภีร์ นักวิทยาศาสตร์แห่ง University of Munich และ Pennsylvania State University ได้รายงานถึงการวิจัยของพวกเขาว่า จากการศึกษาข้อมูลที่ได้มาจากการสกัด DNA จากโครงกระดูกของมนุษย์นิแอนเดอร์ธัล ที่ขุดได้จากเขต Dusseldorf ในปี 1856 พบว่า มีความไม่เกี่ยวเนื่องกันหลายประการในข้อมูลที่อยู่ใน DNA ของมนุษย์โบราณและโมเดิร์นแมนเช่นพวกเรา และดูเหมือนว่าหากทฤษฎีวิวัฒนาการของดาร์วินเป็นจริง มันก็มีห่วงโซ่ทางวิวัฒนาการที่หายไปอยู่อีกหลายเปลาะกว่าที่คิดกันไว้ใน อดีต เพราะจากข้อมูลที่ออกมา เราและมนุษย์โบราณเป็นเพียงสิ่งมีชีวิตที่เรียกได้ว่าเป็นญาติห่างๆกันเท่า นั้น ไม่ได้มีทีท่าว่าจะสามารถวิวัฒนาการตามธรรมชาติจนออกมาเป็นมนุษย์ยุคใหม่ อย่างพวกเราได้เลย


ความรู้เกี่ยวกับ DNA เข้ามาช่วยตรงนี้ได้มากครับ ในโครงสร้างของ DNA นั้น จะมีส่วนที่ใช้เก็บข้อมูลทางพันธุกรรมอยู่ ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะสามารถถ่ายทอดต่อผ่านไปให้ลูกหลานได้ ซึ่งแน่นอนครับหากว่าเราสามารถแกะเอาข้อมูลที่เก็บไว้ออกมาอ่านหรือตีความ ได้ เราก็จะสามารถทราบเส้นทาง รายละเอียดของการวิวัฒนาการได้เช่นกัน และสามารถบอกได้ด้วยซ้ำว่าบรรพบุรุษคนแรกของสายพันธุ์ที่เราศึกษานั้นมี ชีวิตอยู่ในช่วงไหน สูงเท่าไหร่ ฟันผุกี่ซี่ ไม่ได้ล้อเล่นนะครับนี่เรื่องจริง นักวิทยาศาสตร์ได้ใช้ข้อมูลใน mitochondria ใน DNA ของเพศหญิงเพื่อตามรอยของบรรพบุรุษของเรา พวกเขาเรียกโค้ดเนมของบรรพบุรุษชายและหญิงว่า อาดัมกับอีฟ อย่างที่ปรากฏอยู่ในไบเบิล และได้พบว่า “อีฟ” น่าจะมีชีวิตอยู่ในช่วงประมาณหนึ่งแสนปีที่ผ่านมาแล้ว ในขณะที่อาดัมมาเกิดในช่วงหลังเล็กน้อยประมาณหมื่นถึงสองหมื่นปีหลังจากอีฟ นี่มนุษย์ผู้ชายไม่ได้เกิดก่อนอย่างที่ระบุไว้ในไบเบิลหรอกรึ?


มันก็ไม่แน่นัก อีฟอาจจะเป็นผู้หญิงคนสุดท้ายใน สายพันธุ์ที่เราศึกษาอยู่ที่เหลือรอดมาในขณะ นั้น หล่อนอาจมาพบกับอาดัม(ซึ่งเป็นเพศผู้ที่อยู่อีกสายพันธุ์หนึ่ง)และมีความ สัมพันธ์กันจนผสมผสานมีลูกมีหลานเป็นพวกเรา เพียงแต่ว่าอาดัมเป็นสายพันธุ์ที่อายุน้อยกว่าเท่านั้นเอง จากการศึกษาบอกรายละเอียดเรามากขึ้นว่า สายพันธุ์ของมนุษย์เพศชายมีอายุน้อยกว่าหญิงประมาณสองหมื่นเจ็ดพันปี และถือกำเนิดขึ้นในช่วงประมาณ 37,000 – 49,000 ปีที่ผ่านมาแล้ว เอาล่ะครับถ้าเราจะเอาตรงนี้มาเป็นบรรทัดฐานในการสาวรอยบรรพบุรุษของเรา เราก็น่าจะได้เวลาอย่างคร่าวๆที่บรรพบุรุษเราถือกำเนิดขึ้นมาคือประมาณไม่ เกินห้าหมื่นปี นับว่าใกล้เคียงกับที่นักมานุษยวิทยาประมาณเอาไว้ มาดูกันนะครับว่าเค้าประมาณเอาไว้อย่างไร
 นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าเมื่อประมาณ 3-4 ล้านปีมาแล้ว สัตว์คล้ายมนุษย์ หรือ โฮมินิด ที่ชื่อ ออสตรัลโลพิทธิคัสมีถิ่นกำเนิดอยู่ในแอฟริกา(เพราะเป็นร่องรอยที่เก่าที่สุด ที่ค้นพบ) จากฟอสซิลที่ศึกษาทำให้นักวิทยาศาสตร์พบว่าออสตรัลโลพิทธิคัสมีลักษณะคล้าย กับมนุษย์มากกว่าลิง จากการศึกษานี้ทำให้เกิดข้อถกเถียงตามมาว่าโฮมินิดเหล่านี้จะเป็นบรรพบุรุษ สายตรงของมนุษย์หรือไม่ (Hominid = คล้ายมนุษย์ ส่วนคล้ายลิงเราจะเรียกว่า Pongid)
 ดังนั้นนักวิทยศาสตร์บางท่านจึงได้แต่สันิษฐานว่า ออสตรัลโลพิทธิคัสอาจมีบรรพบุรุษร่วมกันในอดีตกับมนุษย์ กล่าวคือวิวัฒนาการมาจากสายทางเดียวกัน และเมื่อประมาณสองล้านปีก่อน ปรากฏว่ามีโฮมินิดพันธุ์ใหม่ค่อยๆแผ่ขยายตัวอย่างช้าๆ เรียกว่าพันธู์โฮโมอาบิลิสและวิวัฒนาการไปเป็นโฮมินิดอีกพันธุ์หนึ่งในช่วง ประมาณล้านถึงสองล้านปีก่อน เรียกว่าโฮโม อิเลคตัส ซึ่งเรื่องราวของมนุษย์ทั้งสองพันธุ์นี้ปัจจุบันก็ยังมีรายละเอียดที่ไม่ ชัดเจนนัก
 แต่ความแตกต่างที่เห็นได้ชัดเจนระหว่างโฮโมอิเล็คตัส กับสัตว์คล้ายมนุษย์ในยุคก่อนๆเช่น ออสตรัลโลพิทธิคัสกับ โฮโมอาบิลิส ได้แก่เรื่องของสมองและรูปร่าง ในช่วงเวลาไม่เกินสองล้านปีก่อน มีโฮมินิดพันธุ์หนึ่ง(ซึ่งอาจเป็นต้นตระกูลของมนุษย์โดยตรง) กลับมีสมองขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆจนกระทั่งโตกว่าสมองของออสตรัลโลพิทธิคัสถึง สองเท่าตัว รูปร่างก็เปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก อะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้สมองของโฮมินิดสายนี้โตขึ้นและรูปร่างเปลี่ยนไป ปัจจุบันยังเป็นเรื่องที่ขบไม่แตกในวงการวิทยาศาสตร์ ซึ่งเราก็ได้แต่คำตอบที่อ้อมแอ้มของพวกเขาว่า องค์ประกอบที่สำคัญที่สุดที่ทำให้สมองของโฮมินิดขยายตัวขึ้น ก็คงมาจากการกินเนื้อและระบบย่อยอาหารที่ดีขึ้น แต่กระบวนการดังกล่าวต้องใช้เวลาม-า-ก-ก-กและย-า-ว-วนานมากครับ กว่าจะเป็นอย่างที่ว่า เพราะฉะนั้นเป็นไปได้หรือไม่ว่า จะมี”อะไร”หรือ”ใคร”ที่เข้ามาสอดแทรกตัวกลางขั้นตอนวิวัฒนาการของมนุษย์เรา
Homo Sapien – ประมาณ 250,000 ปีถึงปัจจุบัน โฮโมเซเปี้ยนหรือมนุษย์ฉลาดวิวัฒนาการมาจากโฮโม อิเล็คตัส ดังนั้นมนุษย์จึงเริ่มเกิดมาไม่นานเมื่อเทียบกับโฮมินิดสายอื่นๆ และมนุษย์ในแบบปัจจุบันจริงๆมีประวัติศาสตร์ความเป็นมา เริ่มต้นเมื่อประมาณห้าหมื่นกว่าปีมาแล้ว ซึ่งอยู่ในช่วงกลางๆยุคน้ำแข็งยุคสุดท้ายของโลกและเริ่มประวัติศาสตร์ของ มนุษย์ที่แท้จริงเป็นลำดับขั้นดังนี้
# 50,000 ก่อน ค.ศ. กำเนิดมนุษย์แบบปัจจุบัน

# 50,000-10,000 ก่อน ค.ศ. เป็นยุคสังคมอนารยะของมนุษย์(ป่าเถื่อน)

# 10,000 ก่อน ค.ศ. เริ่มต้นเกษตรกรรมและอารยธรรม

# 5,000 ก่อน ค.ศ. เริ่มใช้ตัวอักษรเขียนหนังสือและบันทึกเรื่องราว อันเป็นผลพวงความก้าวหน้าของอารยธรรมทางการเกษตร
นี่คือหลักฐานทางวิทยาศาสตร์และประวัติศาสตร์ที่พวกเราร่ำเรียนกันมา แต่ ยังมีหลักฐานหรือเงื่อนงำประหลาดๆ ที่ส่อให้เห็นว่าทฤษฎีเกี่ยวกับวิวัฒนาการของมนุษย์นั้นผิดโดยสิ้นเชิง 
#Wanwilai สำนักข่าว Vihoknews