หุ่น อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ขนาดเท่าของจริง ที่ผู้เยี่ยมชมได้ถ่ายภาพเซลฟี่ด้วย ได้ถูกนำออกไปจากพิพิธภัณฑ์ในอินโดนีเซียเป็นที่เรียบร้อย
ภาพเซลฟีที่ถูกแชร์บนโซเชียลมีเดียแสดงภาพผู้เข้าชมยืนยิ้มเคียงข้างผู้นำนาซี โดยมีฉากหลังเป็นประตูทางเข้าสู่ค่ายกักกันเอาชวิทซ์ในโปแลนด์
แต่กว่าพิพิธภัณฑ์ศิลปะหุ่น เดอ อาร์คา (De ARCA Statue Art Museum) จะตระหนักว่ามันได้สร้างความไม่สบายใจให้กับผู้พบเห็น ก็ต่อเมื่อชุมชนนานาชาติพากันตอบสนองด้วยความโกรธเคือง
พิพิธภัณฑ์ในเมืองยอกยาการ์ตา บนเกาะชวา กล่าวว่าพวกเขาต้องการจะให้ความรู้เท่านั้น
“เราไม่ต้องการจะสร้างความโกรธ” เจมี มิสบาห์ ผู้จัดการฝ่ายปฏิบัติการของพิพิธภัณฑ์กล่าวกับสำนักข่าวเอเอฟพ
ภาพที่ถูกส่งต่อในโซเชียลมีเดียแสดงภาพของหลายคนที่กำลังโพสท่ากับหุ่นไฟเบอร์กลาสนี้ รวมถึงกลุ่มเด็กผู้ชายอายุน้อยในชุดยูนิฟอร์มสีส้มที่กำลังทำท่าแสดงความเคารพแบบนาซี
เหตุการณ์นี้ทำให้หลายคนทั่วโลกรู้สึกแย่มาก แม้พิพิธภัณฑ์จะกล่าวว่าไม่มีการร้องเรียนโดยผู้เข้าชมแต่อย่างใดก็ตาม
แรบไบ อับราฮัม คูเปอร์ จากศูนย์ไซมอน วีเซนธาล องค์กรเพื่อสิทธิมนุษยชน กล่าวกับสำนักข่าวเอพีว่า “ทุกอย่างเกี่ยวกับสิ่งนี้เป็นเรื่องผิด มันยากที่จะหาคำมาอธิบายว่ามันน่ารังเกียจแค่ไหน”
“ภาพพื้นหลังนั้นน่ารังเกียจ มันล้อเลียนเหยื่อผู้ซึ่งเดินทางเข้าไปในนั้นและไม่เคยได้กลับออกมา
มีการประมาณการว่าประชากรกว่า 1.1 ล้านคนเสียชีวิตในค่ายเอาชวิทซ์ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวยิวในยุโรป และรวมถึงกลุ่มชาวยิปซีโรมา และนักโทษสงครามจากโซเวียต
ผู้วิจารณ์บางส่วนได้กล่าวโทษถึงการขาดความละเอียดอ่อนในเรื่องนี้ว่าเป็นผลจากการขาดการศึกษาและให้ความรู้เกี่ยวกับเหตุการณ์ฮอโลคอสต์ แต่ แอนเดรียส์ ฮาร์โซโน นักวิจัยจากฮิวแมนไรท์วอทช์ กล่าวว่ามันเป็นการเปิดเผยถึงความรู้สึกต่อต้านยิวในประเทศที่ที่มีประชากรมุสลิมมากที่สุดในโลก
การะจัดแสดงหุ่นและพร็อพดังกล่าว เป็นส่วนหนึ่งของการโชว์หุ่นขี้ผึ้งกว่า 80 จุดในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ และเกิดขึ้น 1 ปีหลังจากคาเฟ่ที่มีธีมนาซีถูกปิดลงในเมืองบันดุง ของอินโดนีเซีย
เหตุการณ์คล้ายกันนี้เคยเกิดขึ้นในประเทศไทยในปี 2556 เมื่อมีภาพนักศึกษาถ่ายภาพคู่กับป้ายแสดงความยินดีบัณฑิตใหม่ที่รวบรวมตัวละครซูเปอร์ฮีโร่ เช่น แบทแมน และซูเปอร์แมน แต่หนึ่งในนั้นมี อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ รวมอยู่ด้วย ซึ่งในครั้งนั้นสโมสรนิสิตคณะศิลปกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้แถลงการขออภัยและให้เหตุผลว่าเกิดจากการ “ความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของกลุ่มนิสิตที่จัดทำ”
ี
ที่มา:BBC Thai
สำนักข่าววิหคนิวส์