ข่าวประจำวัน » #หลักเกณฑ์ในการคำนวณค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตร ที่ศาลใช้พิพากษาในการฟ้องกันในคดี 

#หลักเกณฑ์ในการคำนวณค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตร ที่ศาลใช้พิพากษาในการฟ้องกันในคดี 

8 July 2019
1374   0

ทางดร.เกียรติศักดิ์ ทนายวิถีพุทธ และทีมทนายความเชียงใหม่ ต้องให้ความรู้ เนื่องจากขณะนี้มีทางบิดา มารดาเด็กในจังหวัดเชียงใหม่เป็นจำนวนมากได้สอบถามปัญหาหลักเกณฑ์ในการคำนวณค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรว่าศาลใช้หลักเกณฑ์อะไรในการพิพากษา ทางดร.เกียรติศักดิ์ จึงได้นำหลักเกณฑ์ที่ศาลใช้พิพากษา มาเป็นกรณีศึกษาให้ชาวเชียงใหม่และบุคคลทั่วไป ดังนี้ครับ

ตามแนวคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7108/2551โจทก์ฟ้องขอให้พิพากษาให้โจทก์หย่าขาดจากการเป็นสามีภริยากับจำเลย ให้จำเลยชำระเงิน จำนวน 3,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ และให้อำนาจปกครองบุตรทั้งสองอยู่กับโจทก์แต่เพียงผู้เดียว ให้จำเลยจ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรทั้งสอง เดือนละ 20,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าบุตรทั้งสองจะเรียนจบชั้นอุดมศึกษา และให้จำเลยจ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูโจทก์ เดือนละ 10,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไป

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…พิเคราะห์แล้วข้อเท็จจริงรับฟังได้เป็นยุติในชั้นนี้โดยคู่ความไม่โต้แย้งคัดค้านว่า โจทก์กับจำเลยได้จดทะเบียนสมรสเมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 2529 มีบุตรด้วยกัน 2 คน คือเด็กหญิงปีย์วรา และเด็กชายวารมาฆ ระหว่างอยู่กินด้วยกันโจทก์และจำเลยมีปัญหาขัดแย้งและทัศนคติไม่ตรงกัน เคยมีปากเสียงและทะเลาะกัน ระหว่างปี 2539 ถึงปี 2542 โจทก์ได้ออกจากบ้านพักอาศัยไปอยู่ที่อื่นตามลำพัง ต่อมาปี 2545 ก่อนโจทก์ฟ้องคดีนี้ โจทก์ได้ออกจากบ้านไปพักอาศัยอยู่ที่อื่นอีกครั้งโดยพาบุตรทั้งสองไปด้วย และคดีเป็นยุติว่าไม่มีเหตุหย่าตามที่โจทก์ฟ้องและจำเลยไม่จำต้องชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูโจทก์ ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่าจำเลยต้องชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์ทั้งสองหรือไม่เพียงใด เห็นว่า ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1564 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “บิดามารดาจำต้องอุปการะเลี้ยงดูและให้การศึกษาตามสมควรแก่บุตรในระหว่างที่เป็นผู้เยาว์” ตามบทบัญญัติดังกล่าวเห็นได้ว่าบิดาและมารดามีหน้าที่ร่วมกันในการให้การอุปการะเลี้ยงดูและให้การศึกษาแก่บุตรผู้เยาว์อันมีลักษณะทำนองเป็นลูกหนี้ร่วมกันหาใช่เป็นหน้าที่ของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งแต่ฝ่ายเดียวไม่ ซึ่งในระหว่างลูกหนี้ร่วมกันนั้นย่อมจะต้องรับผิดเป็นส่วนเท่า ๆ กัน เว้นแต่จะได้กำหนดไว้เป็นอย่างอื่น ทั้งนี้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 296 การกำหนดความรับผิดเป็นอย่างอื่นตามกฎหมายดังกล่าวอาจกำหนดโดยนิติกรรม สัญญาหรือตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ ถึงแม้โจทก์และจำเลยจะแยกกันอยู่และโจทก์นำบุตรผู้เยาว์ทั้งสองไปอยู่ด้วยกับโจทก์ก็ตาม เมื่อมิได้ตกลงกันให้โจทก์เป็นผู้ออกค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์ทั้งสองแต่ฝ่ายเดียว โจทก์ย่อมมีสิทธิฟ้องเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรเพื่อแบ่งส่วนความรับผิดในฐานะลูกหนี้ร่วมกันได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 296 จำเลยจึงต้องร่วมรับผิดชำระค่าเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์ทั้งสอง จำเลยจะอ้างว่าโจทก์มีทรัพย์สินมากกว่าและโจทก์นำบุตรผู้เยาว์ทั้งสองไปอยู่ด้วยเพื่อปฏิเสธที่จะไม่ชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูหาได้ไม่ แม้จำเลยจะได้ออกค่าใช้จ่ายในการศึกษาเล่าเรียน ค่าหนังสือเรียนดังที่จำเลยอ้างก็เป็นเรื่องให้การศึกษาซึ่งเป็นคนละส่วนกับค่าอุปการะเลี้ยงดู จำเลยก็จะนำมาอ้างเพื่อปฏิเสธไม่ชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูหาได้ไม่ ส่วนค่าอุปการะเลี้ยงดูเห็นสมควรเป็นจำนวนเพียงใดนั้น ศาลมีอำนาจกำหนดโดยคำนึงถึงความสามารถของผู้มีหน้าที่ต้องให้ฐานะของผู้รับและพฤติการณ์แห่งกรณี ทั้งนี้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1598/38 ทั้งศาลจะสั่งแก้ไขค่าอุปการะเลี้ยงดูอีกในภายหลังได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1598/39 ขณะโจทก์ฟ้องคดีนี้บุตรผู้เยาว์ทั้งสองอายุ 14 ปี และ 10 ปี อยู่ระหว่างการศึกษาเล่าเรียนย่อมต้องมีค่าใช้จ่ายต่างๆ และระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา บุตรผู้เยาว์ทั้งสองอายุ 19 ปีเศษ และ 16 ปีเศษ โดยบุตรผู้เยาว์คนโตกำลังศึกษาในระดับมหาวิทยาลัย โจทก์และจำเลยต่างมีรายได้ประจำโดยโจทก์เป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยได้รับเงินเดือน เดือนละประมาณ 37,000 บาท ส่วนจำเลยมีเงินเดือน เดือนละประมาณ 60,000 บาท ประกอบกับระหว่างที่บุตรผู้เยาว์ทั้งสองไปอยู่อาศัยกับโจทก์นั้น ไม่ปรากฏว่าจำเลยจะชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูแก่บุตรผู้เยาว์ทั้งสองให้แก่โจทก์เลย ดังนั้น ที่ศาลล่างทั้งสองกำหนดค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรทั้งสองคนละเดือนละ 8,000 บาท จึงเหมาะสมแล้ว แต่อย่างไรก็ตาม ข้อเท็จจริงปรากฏตามฎีกาของจำเลยว่า บุตรผู้เยาว์คนเล็กคือ นายวารมาฆ ได้กลับมาอยู่อาศัยกับจำเลยแล้วตั้งแต่เดือนมีนาคม 2550 โดยมีหนังสือของ นายวารมาฆ ยืนยันว่าได้มาอยู่กับจำเลยแล้ว ซึ่งโจทก์ก็ยอมรับในคำแก้ฎีกาโดยไม่ได้โต้แย้งคัดค้าน จึงถือว่ามีพฤติการณ์เปลี่ยนไปตามมาตรา 1598/39 สมควรที่จำเลยไม่ต้องจ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดู นายวารมาฆ แก่โจทก์ นับแต่เดือนมีนาคม 2550 เป็นต้นไป

สรุปง่ายๆ คือ 1.ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1564 เป็นหน้าที่ของบิดาและมารดาที่มีหน้าที่ต้องชำระค่าอุปการเลี้ยงดูให้แก่บุตรตามสมควร อย่างลูกหนี้ร่วม 2.ตาม ป.พ.พ. มาตรา 296 หน้าที่ของพ่อและแม่มีความรับผิดร่วมกันอย่างลูกหนี้ร่วม เว้นแต่ตกลงไว้เป็นอย่างอื่น (บันทึกข้อตกลง บันทึกท้ายหย่า) 3.ส่วนค่าอุปการะเลี้ยงดูเห็นสมควรเป็นจำนวนเพียงใดนั้น ศาลมีอำนาจกำหนดโดยคำนึงถึงความสามารถของผู้มีหน้าที่ต้องให้ ฐานะของผู้รับและพฤติการณ์แห่งกรณี ทั้งนี้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1598/39

หากชาวเชียงใหม่หรือท่านใดต้องการปรึกษากฎหมาย หรือให้ความช่วยเหลือกฎหมาย ปรึกษาได้ฟรีครับ ทางทีมงานสำนักงานกฎหมาย ดร.เกียรติศักดิ์ ทนายวิถีพุทธ และทีมทนายความเชียงใหม่ พร้อมช่วยเหลือประชาชนทุกท่านครับ

 

สำนักข่าววิหคนิวส์