วันที่ 3 ตุลาคม 2560 – 18:12 น. นายศุภกิจ แย้มประชา ผู้พิพากษาศาลชั้นต้นประจำสำนักประธานศาลฎีกา
จากกรณีนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ทีมกฎหมายพรรคเพื่อไทย (พท.) ยื่นหนังสือต่อกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) ตรวจสอบการกระทำของนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี กรณีการแต่งตั้ง นายชีพ จุลมนต์ เจ้าของสำนวนคดีจำนำข้าว ปัจจุบันดำรงตำเเหน่งประธานศาลฎีกา เป็น เป็นกรรมการกฤษฎีกาเเละเเต่งตั้งนายธานิศ เกศวพิทักษ์ 1ในองค์คณะจำนำข้าว เป็นคณะกรรมการปฏิรูปตำรวจ อาจขัดกฎหมายวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ในบทบัญญัติ มาตรา 11 วรรคสี่ ที่ห้ามไม่ให้มีคำสั่งให้ผู้พิพากษาในองค์คณะไปทำงานที่อื่นนอกศาลฎีกา เเละจะเข้าข่ายมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 และกฎหมาย ป.ป.ช.มาตรา 123/1 หรือไม่
ล่าสุดเมื่อวันที่3ตุลาคม นายศุภกิจ แย้มประชา ผู้พิพากษาศาลชั้นต้นประจำสำนักประธานศาลฎีกา ให้สัมภาษณ์ในเพจสื่อศาล เป็นเพจกองสารนิเทศและประชาสัมพันธ์ของสำนักงานศาลยุติธรรม
ในประเด็นเกี่ยวกับความเป็นอิสระของตุลาการตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ที่ระบุว่า ระหว่างการพิจารณาคดีนั้นห้ามมิให้มีคำสั่งให้ผู้พิพากษาผู้นั้นไปทำงานที่อื่นนอกจากศาลฎีกา ครอบคลุมถึงอะไรบ้าง ว่าตามบทบัญญัติมาตรา 13 วรรคสี่ตอนท้ายของกฎหมายปี 2560 ที่ระบุว่า “…เเละระหว่างการพิจารณาพิพากษาคดีนั้นห้ามมิให้มีคำสั่งให้ผู้พิพากษาผู้นั้นไปทำงานที่อื่นนอกศาลฎีกา” นั้น กำหนดขึ้นเพื่อป้องกันมิให้มีการใช้อำนาจภายในองค์กรตุลาการสั่งให้ผู้พิพากษาในองค์คณะไปทำงานที่อื่นนอกศาลฎีกา โดยมุ่งหมายถึงการสั่งให้ผู้พิพากษาในองค์คณะไปช่วยราชการชั่วคราวในศาลอื่น อันอาจเป็นเหตุให้ต้องเลือกผู้พิพากษาอื่นในศาลฎีกาขึ้นมาเเทนที่
“เเต่บทบัญญัตินี้ไม่รวมถึงการโยกย้ายผู้พิพากษาในองค์คณะตามวาระด้วย เพราะตามมาตรา 14 (2) ของกฎหมาย ฉบับปี2542 ซึ่งตรงกับมาตรา12 (2) ของกฎหมายปี 2560 กำหนดว่า หากผู้พิพากษาในองค์คณะฯได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯให้ไปดำรงตำเเหน่งที่ศาลอื่น ย่อมพ้นจากหน้าที่ จึงหมายความว่า ทั้งกฎหมายเดิมเเละกฎหมายปัจจุบันมิได้ห้ามการโยกย้ายผู้พิพากษาในองค์คณะไปดำรงตำเเหน่งที่ศาลอื่น เพียงห้ามการโยกย้ายนอกวาระซึ่งจะไม่มีการเสนอโปรดเกล้าฯ เท่านั้น ต้องทำความเข้าใจว่า คำว่า “…ห้ามมิให้มีคำสั่งให้ผู้พิพากษาผู้นั้นไปทำงานอื่นนอกศาลฎีกา” ตามที่กำหนดไว้ในกฎหมายนั้น ผู้ที่กฎหมายประสงค์จะห้าม คือผู้มีอำนาจในศาลยุติธรรมที่มีอำนาจในการสั่งให้ผู้พิพากษาไปทำงานนอกศาลฎีกาเท่านั้น ไม่ได้มีผลเป็นการห้ามหน่วยงานอื่น”นายศุภกิตกล่าว
นายศุภกิต กล่าวต่อว่า การห้ามไปทำงานนอกศาลฎีกานั้นมีความหมายเพียงว่า ห้ามสั่งให้ไปปฎิบัติหน้าที่ในฐานะผู้พิพากษาในศาลอื่นนอกศาลฎีกาเท่านั้น ไม่ได้หมายความถึงห้ามทำงานอื่นใดที่ไม่เกี่ยวข้องกับกิจการของศาล เพราะเป็นเรื่องปกติเเละควรยกย่องส่งเสริมที่ผู้พิพากษาศาลฎีกาซึ่งถือเป็นผู้ทรงคุณวุฒิด้านกฎหมายของประเทศจะเสียสละไปปฏิบัติหน้าที่ในกิจการอันเป็นประโยชน์ต่อสังคมด้านอื่น ซึ่งไม่ได้กระทบกระเทือนต่อความเป็นอิสระในการปฎิบัติหน้าที่ในฐานะผู้พิพากษาเเต่อย่างใด เช่น การเป็นอาจารย์พิเศษในสถาบันการศึกษาหรือเป็นอาจารย์บรรยายที่สำนักอบรมศึกษากฎหมายเเห่งเนติบัณฑิตยสภา เป็นต้น
cr. มติชน
สาธิต ฤกษ์สำเร็จ
สำนักข่าววิหคนิวส์