นายราเมศ รัตนะเชวง รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ได้ออกมาให้ความเห็นว่า หากพิจารณาคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ในคดีจำนำข้าวของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ จะพบเห็นการสะท้อนถึงกระบวนการตรวจสอบในระบบประชาธิปไตยยังมีประสิทธิภาพ ระบบการถ่วงดุลโดยฝ่ายนิติบัญญัติขณะนั้น คือ ฝ่ายค้านพรรคประชาธิปัตย์ได้ตรวจสอบฝ่ายบริหาร และส่งต่อไปยังอำนาจตุลาการ
โดยผ่านกระบวนการกลั่นกรองจากคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) รวมถึงองค์กรอัยการ ซึ่งคดีนี้ได้เกิดขึ้นในช่วงประเทศเป็นประชาธิปไตย แม้จะไม่มีการปฏิวัติรัฐประหาร คดีนี้ก็จะยังคงถูกดำเนินคดีตามกระบวนการปกติ การยึดอำนาจไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับอำนาจตุลาการ เพราะศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเป็นศาลที่เกิดขึ้นตั้งแต่ พ.ศ.2540 ไม่ใช่ศาลที่ทหารตั้งมาเพื่อจัดการเรื่องใดเรื่องหนึ่งโดยเฉพาะ
นอกจากนี้ หากพิจารณาถึงเนื้อหาของคดีนี้ก็จะเห็นว่าไม่ใช่คดีการเมือง เป็นคดีอาญาปกติที่เกิดจากการปฏิบัติหน้าที่ที่ก่อให้เกิดความเสียหายจากนโยบายของรัฐบาล แล้วมีการทุจริตจากโครงการ ด้านน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่เป็นนายกรัฐมนตรีขณะนั้น ก็ทราบเรื่องดีแล้ว แต่ไม่ระงับยับยั้งก็เป็นความผิดตามกฎหมายคือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ที่ต้องอธิบายก็เพราะชี้ให้เห็นว่าคดีนี้ไม่ใช่คดีการเมืองและความเห็นส่วนตัวเมื่อไม่เป็นคดีการเมืองแล้วก็ไม่เข้าลักษณะที่จะขอลี้ภัยได้
แต่ขณะเดียวกันรัฐบาลไทยขณะนี้ไม่เคยอธิบายสิ่งเหล่านี้ว่าก่อนที่ทหารจะเข้ามาบ้านเมืองเกิดอะไรขึ้น คดีนี้มีที่มาที่ไปอย่างไร สังคมไทยและสังคมโลกไม่เคยได้รับคำอธิบาย นายกรัฐมนตรีต้องให้ฝ่ายกฎหมายของรัฐบาลได้ออกมาทำหน้าที่ร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศเพื่ออธิบาย การพูดเพื่อให้ประชาชนเข้าใจ ดีกว่าการพูดให้ประชาชนแคลงใจ วันนึงถ้ารัฐบาลไม่อธิบาย รัฐบาลคสช. ก็จะกลายเป็นจำเลย และท้ายที่สุดสังคมโลกก็จะมองประเทศไทยผิดไปจากความจริง คดีที่ตัดสินโดยชอบด้วยกฎหมาย หากรัฐบาลไม่ช่วยอธิบายอำนาจอธิปไตยของไทยก็จะถูกท้าทายได้ โดยเฉพาะอำนาจตุลาการ
“ผมขอเรียกร้องให้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีอธิบายเรื่องราวต่างๆเมื่อไปพบผู้นำประเทศ ควรอธิบายให้เข้าใจว่าที่ผ่านมาบ้านเมืองเกิดอะไรขึ้น คดีจำนำข้าวมีที่ไปที่มาอย่างไร” นายราเมศ กล่าว
สำนักข่าววิหคนิวส์