ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง อ่านคำพิพากษาคดีฟอกเงินกู้แบงก์กรุงไทย ที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายพานทองแท้ ชินวัตร หรือโอ๊ค บุตรชายคนโตของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นจำเลย ในความผิดฐานร่วมกันฟอกเงิน และสมคบคบกันฟอกเงิน
จากกรณีที่ นายพานทองแท้ รับโอนเงินเป็นเช็คจำนวน 10 ล้านบาทเข้าบัญชี ซึ่งมีการกล่าวหาว่าเงินนั้น เป็นส่วนหนึ่งของการกระทำจากการทุจริตปล่อยกู้สินเชื่อระหว่างธนาคารกรุงไทย กับเอกชนกลุ่มกฤษดามหานคร ที่มีนายวิชัย กฤษดาธานนท์ อายุ 80 ปี ผู้บริหารกฤษดามหานคร กับนายรัชฎา กฤษดาธานนท์ อายุ 53 ปี บุตรชายของนายวิชัย และอดีตคณะผู้บริหารธนาคารกรุงไทย
โดยศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า พยานหลักฐานของโจทก์ ยังไม่มีน้ำหนักให้รับฟังได้ว่านายพานทองแท้จำเลยได้รู้ที่มาของเงินจำนวน 10 ล้านบาท ที่นายวิชัย กฤษดาธานนท์ โอนเข้าบัญชีว่า นายวิชัยได้มาจากการกระทำผิดทุจริตการปล่อยกู้แบงค์กรุงไทย ซึ่งขณะที่รับโอนเงินจำเลยมีอายุเพียง 26 ปีและในขณะนั้นมีเงินรายได้จากหุ้นในบริษัทอยู่แล้ว ถึง 4,000 ล้านบาท โดยเมื่อเทียบกับเงิน 10 ล้านบาทแล้วคิดเป็น 0.0025 เปอร์เซ็นต์ จากยอดเงินดังกล่าว ขณะที่โจทก์นำสืบได้เพียงว่าขณะที่รับโอนหุ้น นายพานทองแท้ เป็นบุตรชายของ นายทักษิณ ชินวัตร และมีความสนิทสนมกับครอบครัวของนายวิชัย เพียงเท่านั้น แม้จะสนิทกันแต่ไม่ปรากฏว่ามีความสัมพันธ์ลึกซึ้งแน่นหนา
สรุปได้ว่า พยานหลักฐานไม่ชัดเจนและไม่เพียงพอจึงพิพากษายกฟ้อง
นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง พิพากษายกฟ้อง นายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชายนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ไม่ผิดฐานฟอกเงินในคดีปล่อยสินเชื่อธนาคารกรุงไทย อัยการยังสามารถยื่นอุทธรณ์ได้หรือไม่ว่า ถ้าเป็นศาลชั้นต้นตัดสิน อัยการสามารถอุทธรณ์ได้ เมื่อถามว่าจากตัดสินถือว่าสามารถสร้างความปรองดองสมานฉันท์ได้หรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า ไม่ทราบคุณไปพูดแบบนั้นไม่ได้ เป็นเรื่องของศาลตัดสิน ใครจะไปปรองดองกับศาล
เมื่อถามว่า สังคมคาดการณ์ตอนแรกว่านายพานทองแท้น่าจะโดนคดี นายวิษณุ กล่าวว่า เล่นไปคาดการณ์กันเอง คาดถูกคาดผิดไปตามเรื่อง โดยไม่เคยฟังพยาน ไม่เคยดูคำฟ้อง ไม่เคยดูคำให้การ ศาลตัดสินว่าอย่างไรก็ต้องเป็นไปอย่างนั้น ถ้าไม่เห็นด้วย ไม่พอใจก็เป็นเรื่องที่จะไปว่ากันต่อไป.